วันจันทร์
วันจันทร์สำหรับข้าพเจ้าก็ไม่ได้หดหู่กว่าวันอื่น
เพราะวันอาทิตย์ก็หาได้หยุดพักผ่อนไม่
การทำงานทุกวันก็ดีอย่างหนึ่ง
คือไม่ต้องวิตกไปว่า วันไหนหยุด วันไหนไม่หยุด
จะได้ไม่ต้องมีอุปาทานไปว่า นี้วันหยุดควรพักผ่อน นี้วันทำงานควรทำงาน
งานควรทำทุกวัน
เพราะการทำงานคือการปฏิบัติธรรม
คำว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรมนี้มีผู้เห็นวิปลาสไปมาก
แท้จริงการทำงานที่ว่า คือการทำงานของจิต
การยังจิตให้เป็นไปเพื่อความหมดกิเลส จึงจะเรียกได้ว่า
เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างเป็นปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์สูงสุด
วันนี้ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้ามืด ประมาณ ตีสาม
ไม่ได้ตื่นเช้ามืดมานาน
การได้ตื่นเช้าทำให้รู้สึกสดชื่น
ความจริงพระสุปฏิปันโนทั้งหลายท่านก็ตื่นกันประมาณนี้
และในพุทธกิจ
เวลานี้คือเวลาตรวจดูสัตว์โลกของพระพุทธเจ้า
ตอนเช้าจึงเสด็จออกบิณฑบาตร โปรดสัตว์ที่ทรงสำรวจไว้
ตอนบ่ายแสดงโอวาทแก่ประชาชน
ตอนเย็นมืดค่ำ แสดงโอวาทแก่ภิกษุ
เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา
นี้พุทธกิจของพระพุทธเจ้า
เรียกว่า พุทธกิจ ๕
เรียกว่าเป็นตารางปฏิบัติหน้าที่ประจำวันของพระพุทธเจ้าก็ว่าได้
พูดถึงความตายกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้า
ที่ต้องพูดถึงเพราะมันต้องตาย
มันตายกันตลอดเวลา
มันตายกันเสมอ ๆ
ไม่ว่าจะเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้
มันตายกันเสมอ ๆ
ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ตายแล้วตายอีก ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
จนมีคำกล่าวว่า ชั่วหนึ่งลัดนิ้วมือ จิตเกิดดับหนึ่งแสนโกฏิขนัด
ความเกิดดับของจิตเป็นที่สังเกตได้เข้าใจได้
จิตเกิดดับสังเกตได้ คิดแล้วดับไป จำได้แล้วก็ลืม รู้สึกแล้วไม่รู้สึก สุขทุกข์ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ความจริงที่ว่ากันว่า จิต เป็นการละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า จิตที่ประกอบด้วยเจตสิก
ไม่ได้หมายถึงจิตเดิมแท้ผู้ประภัสสร
จิตเกิดดับสังเกตเห็น แล้ว รูป เกิดดับสังเกตเห็นได้อย่างไร
ข้อนี้เป็นความพิสดารของปัญญาญาณ
วิทยาศาสตร์กว่าจะรับรู้ได้ว่ารูปเกิดดับต้องศึกษากันแทบเป็นบ้า
แต่เรื่องรูปเกิดดับนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบตั้งแต่ตรัสรู้
คือในภาวะที่ร่างกายเราอยู่เป็นปกตินี้แหละ ส่วนประกอบเล็ก ๆ ในร่างกาย หรือที่เรียกว่า เซลล์นั้น
เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เซลล์เก่าตายไป เซลล์ใหม่เกิดขึ้น สังเกตได้จาก ขี้ไคล
ถ้าจะสังเกตแบบนานหน่อยก็คือ สังเกตว่า คนเรานี้เกิดมา โตขึ้น แก่ลงไป
อันนี้ล้วนเกิดจากการเกิดดับของรูปทั้งสิ้น
หลวงปู่มั่นท่านว่าที่เราสังเกตไม่เห็นความเกิดดับของรูปเพราะมี รูปสันตติ
คือรูปที่ต่อเนื่องกันไปบังเสีย
จุดนี้เป็นความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา หลวงปู่มั่นท่านก็ไม่ได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์
ไม่ได้เรียนเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์ ท่านรู้ได้อย่างไร
ญาณ คือ ความรู้อันยิ่งนั้น เป็นคำตอบ
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมเมื่อมีการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้แจ้งก็จะบรรลุธรรม
ในทางการศาสนานั้นเราเรียนรู้เรื่อง รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ไปเพื่อความปล่อยวาง
ไปเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น
ไปเพื่อนิพพาน
แต่ในทางโลก เราเรียนเรื่องเหล่านี้ไปเพื่อบำรุงขันธ์ทั้งหลายเหล่านี้
จึงจะเห็นได้ว่า มีสารฉีดบำรุงความงามให้เต่งตึง มีการกระทำบำรุงความสุข มีเครื่องดื่มเพิ่มพลังสมองให้ความจำเป็นเลิศ มีเครื่องมือพัฒนาการปรุงแต่ง มีสิ่งช่วยในการรับรู้ ต่าง ๆ ทั้งหลาย แม้กระทั่งแสวงหายาอายุวัฒนะ
เพื่อชะลอ เพื่อดึง เพื่อฉุดไม่ให้ขันธ์ทั้งห้าเสื่อม เพื่อไม่ให้ตายไป
เพราะคนเรากลัวตาย โดยหาได้พิจารณาไม่ว่าที่มันต้องตายน่ะเพราะมันเสือกเกิด
คนตายกันที ญาติตายกันที หมาตายกันที ก็ร้องไห้เสียใจ
ความจริงมันควรร้องไห้เสียใจตั้งแต่ตอนที่มันเกิดมา
เพราะความเกิดมันก็เอาความแก่มาด้วยเอาความตายมาด้วย
ความตายมันห้อยคออยู่ตั้งแต่เกิด
วิทยาศาสตร์เป็นไปเพื่อความเกิดศาสนาเป็นไปเพื่อความไม่เกิด
วิทยาศาสตร์เป็นไปเพื่อความปรุงศาสนาเป็นไปเพื่อความปล่อย
วิทยาศาสตร์กับศาสนาจึงเดินสวนทางเป็นเส้นขนานกันดังนี้
ความจริงเรื่องขันธ์ห้านี้เป็นเรื่องใหญ่ มีรายละเอียดมาก
และการตรัสรู้ธรรมทั้งหมด ก็อยู่ที่ขันธ์ห้านี้
ก็อย่างว่า ผู้รู้ย่อมไม่พูด ที่พูดอยู่นี้ก็มีแต่ไม่รู้ทั้งนั้น
ข้าพเจ้าผู้โง่งมก็เพ้อเจ้อไปตามความโง่งมของตน
ผิดถูกประการใดโปรดอภัย
เอวังแต่เท่านี้ก่อน
ธรรมาทิตย์อรุณ
๒๗ ๐๙ ๒๕๕๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น