ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

"สิ่งเล็กเล็ก ที่เรียกว่า...รัก" สิ่งเล็ก ๆ ใน "สิ่งใหญ่ใหญ่ ที่เรียกว่า...มิตรภาพ"


"สิ่งเล็กเล็ก ที่เรียกว่า...รัก" สิ่งเล็ก ๆ ใน "สิ่งใหญ่ใหญ่ ที่เรียกว่า...มิตรภาพ"


ข้าพเจ้าดูภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงสามรอบก่อนที่จะลงมือเขียนถึง

โดยปกติข้าพเจ้าก็ไม่ได้ดูหนังไทยมากนัก ด้วยเหตุผลใด ๆ

รวมถึงโดยปกติข้าพเจ้าก็เลือกหนังที่จะดูมาก

อาจจะดูเหมือนสายหรือช้าเกินไปที่พูดถึงหนังเรื่องนี้

แต่ความจริง ข้าพเจ้ามักพูดถึงอะไรในเวลาที่คนอื่นไม่พูดถึง

ข้าพเจ้าไม่ค่อยเขียนถึงหนังหรือหนังสือเป็นกิจจะลักษณะมานานมาก

เพราะโดยทั่วไปแล้วข้าพเจ้าเสพสื่อเหล่านี้เพื่อความบันเทิง

มากกว่าจะเสพเพื่อนำมาวิพากษ์วิจารณ์

และส่วนมากหนังแต่ละเรื่องก็ไม่ได้มีความดึงดูดพอให้พูดถึง


"สิ่งเล็กเล็ก ที่เรียกว่า...รัก" ประเด็นหลักมุ่งสื่อถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

ที่ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นแฟนกับคนที่ตัวเองแอบปลื้ม ซึ่งก็เป็นลักษณะของมนุษย์โลกโดยทั่วไป

แต่มันแตกต่างตรงที่ว่า เด็กหญิงน้ำ ทำแล้วประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

หนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวที่ให้ความรู้สึกร่วมของผู้ชมหลายอย่าง

จึงเป็นเหตุให้เป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูในช่วงที่หนังกำลังฉาย

ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังเรื่องนี้ยังเติมเต็มความฝันของบรรดาเหล่า "ผู้แอบปลื้ม" ได้อย่างแนบเนียน

เหมือนหนังเกาหลีที่เติมเต็มความรู้สึกเพ้อฝันของผู้หญิงเกาหลีนั่นเอง

แม้ว่าขณะนั้นจะเข้าโรงชนกับหนังสไตล์เดียวกันอีกเรื่องหนึ่ง และก็ดูเหมือนว่าจะดังน้อยกว่าเสียด้วย ( หรือเปล่า? )


ทุกอย่างในหนังทำได้ดูดีลงตัว ตั้งแต่ ฉาก แสงเงา มุมกล้อง การตัดต่อ และที่สำคัญความน่ารักของตัวละคร

ต้องยอมรับว่า ตัวละครทุกตัวในเรื่องแสดงได้ดีเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะตัวเอก คือ น้ำ เธอแสดงได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่เสียแรงที่เฟ้นหากันมาอย่างดี

ตัวประกอบที่ทำให้เรื่องรื่นเริงอย่างเพื่อนของน้ำและครูอินก็ทำได้ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติเหมือนมีชีวิตจิตใจเป็นคนจริง ๆ จนบางครั้งเผลอนึกไปว่า นี่คือเรื่องจริง

หนังที่ทำให้คนเผลอนึกได้ว่า นี่คือเรื่องจริง โดยส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่า หนังเรื่องนั้นประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

สิ่งหนึ่งที่ทีมงานของหนังเรื่องนี้ทำได้ดีมากก็คือ การแต่งหน้าและแต่งตัว รวมถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ หนังเรื่องนี้ทำให้คนดูรู้สึกได้จริง ๆ ว่า น้ำและเพื่อน ๆ ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตัวเอกคือ น้ำ จากที่ผมสั้นตัวดำ ๆ เป็นผมยาวตัวขาว ๆ (พูดตามตรงข้าพเจ้ารู้สึกชอบ น้ำในเวอร์ชั่น ผมสั้นตัวดำ ๆ มากกว่า เพราะเห็นว่าเธอคือ "น้ำ" ที่เป็น "น้ำ" จริง ๆ )

มีอยู่ฉากหนึ่งที่ดูแล้วขัดก็คือ ฉากที่น้ำไปบอกรักโชน ข้าพเจ้าเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมเสื้อของเพื่อน ๆ ของน้ำจึงดูสะอาดไม่ถูกเขียนเลย ทั้งที่ก็เรียนจบเหมือนกัน หรือต้องการจะสื่อว่า น้ำเป็นที่นิยมอยู่คนเดียว ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตามธรรมเนียมการจบการศึกษา ต่อให้คุณหน้าปลวกขนาดไหนก็ต้องมีคนเขียนเสื้อ เว้นแต่ว่า คุณจะไม่ให้เพื่อนเขียน


ต้องบอกด้วยความจริงจังว่า ข้าพเจ้าประทับใจกับหนังเรื่องนี้ และได้ตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งว่า เราประทับใจหนังเรื่องนี้เพราะอะไร

. มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียน ข้าพเจ้าชอบดูหนังที่เกี่ยวกับนักเรียน มันเหมือนได้ย้อนอดีตไปในสมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียน นี่คือจุดร่วมที่หนึ่ง

. จุดเปิดเผยของเรื่องอยู่ที่สมุดบันทึก ข้าพเจ้าเป็นคนชอบเขียนสมุดบันทึก และข้าพเจ้าก็มีบันทึกคล้าย ๆ กับโชนที่เป็นตัวเอกฝ่ายชายของเรื่อง นี่คือจุดร่วมที่สอง

. ตัวละครแสดงได้เป็นธรรมชาติและเป็นตัวของตัวเอง

. เรื่องไม่ประดักประเดิดและไม่แลดูกระด้างหรือกระเดียดไปในทางน้ำเน่ามากเกินไป แม้ว่าพล็อตเรื่องจะแสนธรรมดา แต่อย่างอื่นมาช่วยกลบความธรรมดานี้ไว้หมด ซึ่งมันก็ไม่แปลกหากจะมีคนนำเรื่องนี้ไปเทียบกับหนังเกาหลีแล้วบอกว่า ทำได้ไม่ดีเท่า

คำถามมีอยู่ว่า ทำไมพล็อตเรื่องธรรมดา ๆ มุกแป้ก ๆ และเดาได้เรื่องนี้ จึงประทับใจคนดูหลายต่อหลายคน เพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ซึ่งในความเป็นจริงเราต้องเรียกว่า สิ่งที่ใหญ่ ๆ ที่คลุมเรื่องนี้ทั้งหมดก็คือ "มิตรภาพ" หนังเรื่องนี้นอกจากสื่อให้เห็นว่า ความรักชนะทุกอย่างแล้ว ยังแสดงให้เห็นมิตรภาพของเพื่อน เพื่อนของน้ำ เพื่อนที่คอยอยู่ข้างเพื่อน เพื่อนที่นึกถึงเพื่อนก่อนตัวเอง ( สังเกตได้จากฉากที่เชียร์เลือกเค้กวันเกิดของตัวเองเป็นเค้กรสวานิลาที่น้ำชอบ ) เพื่อนที่ทำเพื่อเพื่อน เพื่อนที่ช่วยเหลือทุกอย่างตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จุดซึ้งที่สุดของเรื่องจะอยู่ตรงฉากที่ทั้งสี่คนร้อง(ไห้)เพลงร่วมกัน


ความจริงหนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องมาด้วยดีโดยตลอด การกระโดดมันมาอยู่ตรงที่ "๙ ปีต่อมา" เรื่องนี้ทำให้หนังไม่สมจริงและกระโดด และทำให้สูญเสียความลึกซึ้ง รวมทั้งทำให้คนไม่ "อิน" ไปกับเนื้อเรื่อง เพราะในช่วงระยะเวลา ๙ ปีนั้น ผู้ชมไม่ได้ชมอะไรเลย นอกจากตัวเลขที่ขึ้นว่า "๙ ปีต่อมา" ความจริงผู้กำกับและทีมงานก็คงชั่งใจเหมือนกันว่าจะมีจุดนี้ดีหรือไม่หรือควรจะละทิ้งให้จบไปในวัยเด็กเท่านั้น แต่เพื่อสนองความต้องการของตลาด ( และ/หรืออาจจะต้องการสื่อถึงรักแท้ที่มั่นคงหรืออะไรก็แล้วแต่ ) จึงเป็นเหตุให้ต้องลงเอยเช่นนี้ ความจริงเรื่องนี้สามารถทำภาคต่อได้ถ้าปล่อยไว้เพียงแค่นั้น แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างที่ว่า ก็คงต้องคิดกันใหม่ว่า จะเริ่มต้นเรื่องอย่างไรดี และมีโจทย์ที่ต้องคิดก่อนหน้านั้นว่า หนังเรื่องนี้จะ "ขาย" ได้หรือไม่อีกด้วย ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดที่คงคิดกันหนักของหนังเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าจุดอื่นใด


ธัชชัย ธัญญาวัลย

ศุกร์ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

407 Fl. 27 Grand Park View Asoke

ตีสองเจ็ดนาที


3 ความคิดเห็น:

jantawan กล่าวว่า...

เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ที่บล็อกเหมือนกันค่ะ
หนังที่ทำให้คนเกิดพลังบางอย่างได้
โดยเฉพาะหากในทางดี
คงประสบคงามสำเร็จในระดับดีทีเดียว
ชื่นชอบโปรดิวเซอร์เรื่องนี้ค่ะ ^^
ทราบว่า ตั้งต้นความคิดถึงว่าไม่ให้มีคำหยาบคายในเรื่องทีเดียวค่ะ

artyhouse กล่าวว่า...

พี่อ่านที่น้องจันเขียนแล้วครับ
และรู้สึกว่า
เราจะเห็นในสิ่งเดียวกัน
และพูดประเด็นเดียวกัน
แต่พี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องหนึ่ง
คือ
you 're the inspiration อิอิ

artyhouse กล่าวว่า...

ชอบแม้กระทั่งประโยคเดียวกัน 5555