ข้าพเจ้าอ่านหนังสือรางวัลซีไรต์
ตั้งแต่จำความได้
คืออายุประมาณ ๑๓ ๑๔ ปี
เรื่องแรกที่อ่านคือ ลูกอีสาน
สมัยนั้นข้าพเจ้าอ่านหนังสือทุกเล่มจากห้องสมุด
ไม่มีหนังสือเป็นของตัวเองเลย
ในยุคที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ม.ต้น
จำได้ว่า
เล่มที่อ่านมีดังนี้
ครอบครัวกลางถนน
ขุนทอง...เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง
ตลิ่งสูง ซุงหนัก
และสุดท้าย คำพิพากษา
เล่มอื่น ๆ เป็นการอ่านในยุคที่่ข้าพเจ้าเรียน ม.ปลาย
และเรียนมหาวิทยาลัยแล้วทั้งสิ้น
อันนี้ไม่นับเล่มที่ได้รางวัลหลังข้าพเจ้าเรียนจบ
ข้าพเจ้าก็ติดตามอ่านเรื่อยมา
มีเพียงสองเล่มเท่านั้น
ที่ข้าพเจ้าไม่ได้อ่าน
คือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
และ ปูนปิดทอง
ปูนปิดทอง นั้น มีเหตุผลว่า
ข้าพเจ้าไม่ชอบอ่านนิยายประเภทนี้
พูดตามตรงข้าพเจ้าไม่เคยอ่านงานของ กฤษณา อโศกสิน
หรือ ทมยันตี หรือนักเขียนท่านใดในแนวนี้เลย
มีเรื่องเดียวในแนวนี้ที่ข้าพเจ้าอ่านจบ
คือ
แวววัน ของ โบตั๋น
ข้าพเจ้ายอมรับว่ามันก็สนุกดี
แต่ดูเหมือนว่า
ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความแตกต่างของนิยายเหล่านี้
และไม่คิดว่า
มันมีความท้าทายใด ๆ ที่่ข้าพเจ้าควรจะสนใจ
และที่แน่ ๆ
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ดูถูกรสนิยมของใคร
เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่อ่านเท่านั้น
ส่วนประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
ข้าพเจ้าไม่อ่าน
โดยไม่มีเหตุผล
ไม่มีเหตุผลจริง ๆ หรือเป็นด้วยว่า
ข้าพเจ้า "อิ่ม"
กับ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ก็เป็นได้
เพราะหลังจากอ่านสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน
ข้าพเจ้าก็ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มอื่นของ
วินทร์ อีกเลย
มีเพียงแต่เปิดผ่าน ๆ บางเล่มเท่านั้น
มันเป็นความเบื่อหน่ายอย่างหนึ่งของข้าพเจ้า
หนังสือซีไรต์ที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุด
หากจะเป็นนิยาย
ก็คือ
คำพิพากษา
ส่วนกวีนิพนธ์นั้น
ข้าพเจ้ายกให้
มือนั้นสีขาว
ในส่วนเรื่องสั้น
ข้าพเจ้าไม่ชอบเล่มใดเลย
อันนี้พูดกันเฉพาะที่เป็นตัวหนังสือ
ไม่พูดถึงเรื่องสั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
คำพิพากษา นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้กันทั่วไปว่าดีอย่างไร
ส่วน มือนั้นสีขาว ข้าพเจ้าชอบในจังหวะ
มากกว่าจะชอบสิ่งอื่นใด
แน่นอนนี่คือความคิดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
ถามว่าแล้วเล่มอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้าง
ข้าพเจ้าก็บอกว่าดี
บางเล่มต้องใช้เวลาละเลียดอ่าน
บางเล่มอ่านสองรอบสามรอบจึงจะเข้าใจได้กึ่งหนึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นคือว่า
เราอยากอ่านหรือเปล่า
อ่านแล้วชอบหรือเปล่า
อ่านแล้วสนุกหรือเปล่า
มันไม่มีค่าอันใด
ถ้าเราอ่านแล้วเราไม่สนุกสนานไปกับมัน
แม้คนอื่นจะบอกว่า
มันดี
มันให้แง่คิด
ข้าพเจ้าอยากรู้นักว่า
ทำไมเราต้องไปคั้นเอาแง่คิดกับวรรณกรรม
ในเมื่อชีวิตของเรานั้น
จะตรึกหาแง่คิดจากอะไรก็ได้ถ้าเราคิดเป็น
จะเป็นเศษหินดินทรายใบไม้ร่วง
มันก็ให้แง่คิดได้ทั้งนั้นแหละ
ดังนั้น
นี่จึงเป็นคำตอบว่า
มนุษย์เรานั้นจะมีชีวิตอยู่
โดยไม่อ่านหนังสือพวกนี้เลยก็ได้
และชีวิตเราจะสมบูรณ์พร้อมโดยที่ไม่เหลียวมองสิ่งเหล่านี้เลยก็ได้
พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอนนี่ว่า
เธอจงเสพวรรณกรรมเถิด
เธอจงละเลียดวรรณกรรมเถิด
วรรณกรรมอันเธอเสพให้มากละเลียดให้มาก
จะทำให้เธอถึงซึ่งพระนิพพาน
ไม่เคยมี
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกว่า
อย่าอ่านหนังสือพวกนี้เลย
ข้าพเจ้าอยากบอกแค่ว่า
อ่านก็ได้
ไม่อ่านก็ได้
อ่านก็ตายตาหลับ
ไม่อ่านก็ตายตาหลับ
เหมือนกัน
เหมือนกับพวกหนังร้อยเรื่องที่ควรดู
อาหารหมื่นอย่างที่ควรกิน
แสนล้านเพลงที่ควรฟัง
หรือพันหนึ่งภาพที่ควรเสพนั่นแหละ
สิ่งเหล่านี้
ไม่ดู ไม่กิน ไม่ฟัง ไม่เสพ
ก็ไม่มีความหมายอะไรกับเรา
ถ้าเราคิดเป็น
คิดเป็นในที่นี้หมายถึงโยนิโสมนสิการเกี่ยวแก่ชีวิต
อ่านหนังสือมันไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้น
แต่มันทำให้รู้มากขึ้นเท่านั้นเอง
คนเราถ้าเอาแต่อ่านไม่รู้จักวิธีการคิดพิจารณาอย่างแยบคาย
มันก็เท่านั้น
ถ้าไม่รู้จักวิธีปฏิบัติเพื่อญาณคือความรู้ยิ่ง
มันก็เท่านั้น
ถ้าไม่รู้จักวิธีปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน
มันก็เท่านั้น
แต่นั่นแหละ
นี่ว่ากันโดยแนวทางของพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นแนวทางที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่น
ศรัทธา
และแนบแน่นในหัวจิตหัวใจ
และคนอื่นไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องตามข้าพเจ้า
ว่ากันในทางโลกียะ
ก็คือ
ใช้ชีวิตตามอัตภาพ
มันก็เท่านั้นเอง
แล้วใครจะรื่นรมย์กับอะไรในชีวิต
ก็เรื่องของใคร
ชอบพอในเรื่องไหน
ก็ดีดดิ้นไป
แล้วก็ไม่ต้องดูถูกรสนิยมของกัน
ไม่ต้องยัดเยียดนั่นนู่นนี่แก่กันและกันจนมันเฝือ
จนมันเลี่ยน
จนมันน่าเบื่อหน่าย
ตารางข้างล่างนี้ข้าพเจ้าเอามาจากเว็บของศูนย์หนังสือจุฬาฯ
เป็นรายชื่อของหนังสือซีไรต์ตั้งแต่เริ่มแรกถึงปี ๕๔
ก็ลุ้นกันว่า
ปี ๕๕ นี้ เล่มไหนจะเข้าวิน
หึหึ
ปี พ.ศ.
|
ชื่อหนังสือ
|
ผู้แต่ง
|
ประเภท
|
2554
|
แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ
|
จเด็จ กำจรเดช
|
เรื่องสั้น
|
2553
|
ไม่มีหญิงสาวในบทกวี
|
ซะการีย์ยา อมตยา
|
กวีนิพนธ
|
2552
|
ลับแล แก่งคอย
|
อุทิศ เหมาะมูล
|
นวนิยาย
|
2551
|
เราหลงลืมอะไรบางอย่าง
|
วัชระ สุจจะสารสิน
|
รวมเรื่องสั้น
|
2550
|
โลกในดวงตาของข้าพเจ้า รวมบทกวีร่วมสมัย
|
มนตรี ศรียงค์
|
กวีนิพนธ์
|
2549
|
ความสุขของกะทิ
|
งามพรรณ เวชชาชีวะ
|
นวนิยาย
|
2548
|
เจ้าหงิญ
|
บินหลา สันกาลาคีรี
|
เรื่องสั้น
|
2547
|
แม่น้ำรำลึก
|
เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์
|
กวีนิพนธ์
|
2546
|
ช่างสำราญ
|
เดือนวาด พิมวนา
|
นวนิยาย
|
2545
|
ความน่าจะเป็น
|
ปราบดา หยุ่น
|
เรื่องสั้น
|
2544
|
บ้านเก่า
|
โชคชัย บัณฑิต
|
กวีนิพนธ์
|
2543
|
อมตะ
|
วิมล ไทรนิ่มนวล
|
นวนิยาย
|
2542
|
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน
|
วินทร์ เลียววาริณ
|
เรื่องสั้น
|
2541
|
ในเวลา
|
แรคำ ประโดยคำ
|
กวีนิพนธ์
|
2540
|
ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
|
วินทร์ เลียววาริณ
|
นวนิยาย
|
2539
|
แผ่นดินอื่น
|
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
|
เรื่องสั้น
|
2538
|
ม้าก้านกล้วย
|
ไพวรินทร์ ขาวงาม
|
กวีนิพนธ์
|
2537
|
เวลา
|
ชาติ กอบจิตติ
|
นวนิยาย
|
2536
|
ครอบครัวกลางถนน : สำนึกและอารมณ์ร้าวลึกของคนเมือง
|
ศิลา โคมฉาย
|
เรื่องสั้น
|
2535
|
มือนั้นสีขาว
|
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
|
กวีนิพนธ์
|
2534
|
เจ้าจันท์ผมหอม : นิราศพระธาตุอินทร์แขวน
|
มาลา คำจันทร์
|
นวนิยาย
|
2533
|
อัญมณีแห่งชีวิต
|
อัญชัน
|
เรื่องสั้น
|
2532
|
ใบไม้ที่หายไป(ฉบับปรับปรุง)
|
จิระนันท์ พิตรปรีชา
|
กวีนิพนธ์
|
2531
|
ตลิ่งสูง ซุงหนัก
|
นิคม รายยวา
|
นวนิยาย
|
2530
|
ก่อกองทราย
|
ไพฑูรย์ ธัญญา
|
เรื่องสั้น
|
2529
|
ปณิธานกวี
|
อังคาร กัลยาณพงศ์
|
กวีนิพนธ์
|
2528
|
ปูนปิดทอง
|
กฤษณา อโศกสิน
|
นวนิยาย
|
2527
|
ซอยเดียวกัน
|
วาณิช จรุงกิจอนันต์
|
เรื่องสั้น
|
2526
|
นาฏกรรมบนลานกว้าง
|
คมทวน คันธนู
|
กวีนิพนธ์
|
2525
|
คำพิพากษา
|
ชาติ กอบจิตติ
|
นวนิยาย
|
2524
|
ขุนทอง..เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง
|
อัศศิริ ธรรมโชติ
|
เรื่องสั้น
|
2523
|
เพียงความเคลื่อนไหว
|
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
|
กวีนิพนธ์
|
2522
|
ลูกอีสาน
|
คำพู บุญทวี
|
นวนิยาย
|
ที่มา : http://www.chulabook.com/seawritebooks.asp
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น