บทที่ ๑
‘พวกเธอทั้งหลายพึงจำไว้ให้ดี กฎข้อที่หนึ่งของการเป็นโสเภณีก็คือ ห้ามมีความรัก’ ถ้อยคำอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์และปรัชญาโสเภณีแว่วอยู่ในหัวของจีรา นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ วิทยาลัยโสเภณีแห่งชาติ
เธอนอนไม่หลับ ความฟุ้งซ่านรำคาญระรานความคิดอื่นเรื่อย ๆ ราวกับแง่งหินแหลมคมที่คอยกรีดสายน้ำไหลเอื่อยอยู่ตลอดเวลา เส้นผมนุ่มละเอียดสยายทั่วหมอนสีทองคล้ายผืนแพรสีดำห่มคลุมกล่องของมีค่าอะไรสักอย่าง
เธอพลิกตัวไปมาอีกครั้ง ความว้าวุ่นใจทำให้ไม่รู้สึกถึงความนิ่มลื่นของชุดนอนบางเบาเท่าใดนัก
โคมไฟสีเหลืองนวลทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดีที่หัวเตียง
“เออ! เอาเถอะ คุณชาย พ่อผู้ดีแปดสาแหรก จะไปดีแหกดีหันที่ไหนก็ไปเลยไป ฉันมันคนไม่รักดี ฉันมันเลว ไม่เหมาะกับคนดี ๆ อย่างคุณ” เสียงประชดประชันสามีของผู้หญิงห้องข้าง ๆ ลอดเลี้ยวผ่านช่องว่างเล็ก ๆ เข้ามา ตามด้วยเสียงโครมครามคึกครื้นของเหล่าเครื่องใช้ภายในบ้านทั้งหลายซึ่งไม่อาจแยกแยะได้ว่าคืออะไรบ้าง
ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะทำร้ายเราได้ขนาดนี้ เธอฟุ้งซ่านต่อไปโดยไม่ได้ใส่ใจกับความเป็นประจำของสิ่งอื่นใดนัก
สามปีที่แล้ว เมื่อแรกเข้ามาสู่สถานศึกษาอันสูงเกียรติ เธอยังจำได้ วิชาแรกที่ต้องเรียนคือวิชาประวัติศาสตร์และปรัชญาโสเภณี
วาทกรรมที่กลายเป็นความทรงจำของเธอ จากอาจารย์แก่ ๆ หัวทองคนนั้น
‘ห้ามมีความรัก’
เมื่อกาลเวลาเดินทางจากจุดหนึ่งมาถึงอีกจุดหนึ่ง แทบทุกคนมองว่าวิชานี้ดูเหมือนขัดแย้งกับวิชาอื่น ๆ ทั้งหมด ยกเว้นก็แต่เรื่องนี้กระมัง
...
แดดเช้าทอแสงอบอุ่น สาดส่องผ่านกระจกรถยนต์เข้ามากระโดดโลดเต้นอยู่บนหนังสือพิมพ์หัวสีหน้าหนึ่งบนตักจีรา เธอใช้นิ้วนางขวาคลี่มุมกระดาษที่พับอยู่ออกและจับมันไว้ให้ตึงเพื่อดูข่าวในกรอบเล็ก ๆ นั้น
ชงเข้าครม.วันนี้โสเภณีเด็ก – รมว.กะหรี่แถลงเรื่องการเปิดสอนโสเภณีต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ว่าจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเช้าวันนี้ ซึ่ง ( อ่านต่อหน้า ๑๕ )
หนังสือพิมพ์ถูกพลิกไปเบา ๆ ทีละหน้า สายตาสวยเศร้าสำรวจข่าวและคอลัมน์ต่าง ๆ อย่างไม่รีบร้อนระหว่างรอให้มันไปถึงข่าวที่เธอสนใจ
รถชะลอความเร็วและค่อย ๆ หยุดอย่างช้า ๆ เมื่อเลยผ่านป้ายวิทยาลัยโสเภณีแห่งชาติมาเล็กน้อย จีรารูดบัตรก่อนก้าวลงจากรถ ยกหนังสือพิมพ์พับครึ่งขึ้นบังแดด
“จีรา!” เสียงเล็ก ๆ ตะโกนเรียกมาจากข้างหลัง
“ดาว”
“ทำไมหน้าดูโทรมอย่างนี้ล่ะ หรือว่าเมื่อคืน--”
“เปล่าหรอก...ฉันแค่นอนไม่หลับน่ะ”
“วันนี้ใช่มั้ยนะ ที่จะมีการฝึกร่วมกับชายสำวันแรก”
“อื้อ”
“น่าตื่นเต้นจังเนอะ”
จีรามีสีหน้าเปลี่ยนไปแบบไม่สังเกตก็ไม่รู้ ฝืนยิ้มที่มุมปาก ก่อนถาม
“จ้ะ...เอ่อ เธอกินข้าวหรือยัง”
“กินขนมปังมานิดหน่อยแล้วหละ เธอจะกินเหรอ อืม...ฉันว่านะ อย่าดีกว่า เช้านี้เขาจะสอนท่าใหม่ ถ้าเกิด--”
“ดาว! จีรา!” เสียงเรียกดังมาจากด้านข้างของทางเดินที่มีหลังคา
“สวัสดีจ้ะ เช้านี้อากาศดีจังนะ ฉันตื่นเต้นมากเลยวันนี้”
“แหม! ใคร ๆ ก็ตื่นเต้นทั้งนั้นแหละ จริงไหมจีรา” เสียงเล็ก ๆ ของแพรดาว
จีราพยักหน้ารับ
“เข้าไปในโรงอาหารกันก่อนเถอะ”
จีรานั่งข้าง ๆ แรมกานต์ แพรดาวนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หนังสือพิมพ์กางหราอยู่บนโต๊ะ ขอบด้านขวาของมันเปียกเล็กน้อยจากหยดน้ำที่เกาะกลุ่มกันข้างแก้วแล้วไหลเลื่อนแช่มช้อยลงมาข้างล่าง มันตั้งใจเคลื่อนเข้ามาหาหนังสือพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์อยากดูดซับความชุ่มชื้นจากมันก็ไม่ทราบ นั่นไม่ใช่สิ่งน่าสนใจมากนักพอ ๆ กับเสียงเพลงคลาสสิกที่โบยบินเบา ๆ ไปทั่วโรงอาหารอย่างนิ่มนวลนั้น
นางระดอหรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโสเภณี ( รมว.กะหรี่ ) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของกระทรวงที่จะจัดให้มีสถาบันสอนหลักสูตรโสเภณีเพิ่มขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งนั้น กำลังจะถูกนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม. ) ในช่วงเช้าวันนี้ และคิดว่าจะผ่านมติโดยไม่มีข้อสังสัย” จีราอ่านหนังสือพิมพ์เบา ๆ พอได้ยินกันทั้งสามคน
“ ‘...เราได้ทำและคิดเรื่องนี้กันมานานแล้วค่ะ มีผลการวิจัยและข้อมูลระดับชาติมากมายที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับข้อดีของการมีโสเภณีวัยแรกดรุณี’ รมว.กะหรี่ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ปัญหาโสเภณีซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในขณะนี้ก็คือ การมีโสเภณีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ วิทยาลัยโสเภณีแห่งชาติ ( วสช. ) ซึ่งเป็นสถาบันผลิตโสเภณีที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศนั้น สามารถผลิตโสเภณีออกมารับใช้สังคมได้เพียงปีละ ๒,๐๐๐ คนต่อปี แต่สถานประกอบการทั่วประเทศที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายนั้นมีถึง ๓๖๕ แห่ง และคาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
‘เราจะได้โสเภณีที่มีคุณภาพแต่ละคนนั้นต้องใช้เวลานานถึง ๔ ปี ซึ่งนานเกินไป และโสเภณีที่จบการศึกษาแล้วส่วนหนึ่งยังถูกแบ่งไปทำงานในองค์กรต่าง ๆ ทำให้เราขาดโสเภณีระดับปฏิบัติกามกิจตามจำนวนที่สมควรจะได้ สถาบันโสเภณีเปิดใหม่นี้เป็นหลักสูตรต่ำกว่าระดับปริญญาตรีทั้งหมด ใช้เวลาเรียนแค่ ๒ ปี สามารถผลิตโสเภณีได้มากถึง ๔,๐๐๐ คน ซึ่งมากกว่าวสช.ถึง ๒ เท่า’ นางระดอหราชี้แจง
‘การรับนักเรียนจะรับเด็กอายุ ๑๒ ปี ที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว และเรียนเฉพาะหลักสูตรการปฏิบัติกามกิจ
‘ต้องยอมรับว่าโสเภณีวัยแรกดรุณีนั้นมีความสดใหม่ น่ารัก บริสุทธิ์ ซื่อใส ไม่ประสีประสา ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดกลุ่มใหญ่ โสเภณีจากวสช.นั้นอายุมากเกินไปและเจนจัด--”
“แหม! พูดยังกับว่าตัวเองไม่ได้จบจากที่นี่ยังงั้นแหละ” เสียงเล็ก ๆ แทรกขึ้น
“นี่เขาก็คงต้องแก้กฎหมายกันใหม่ด้วยใช่มั้ยเรื่องอายุของโสเภณีน่ะ” เป็นเสียงเดิมที่ดูเหมือนจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้กระทันหัน
“สภาก็คงให้ผ่านแหละ พวกรัฐบาลทั้งนั้นนี่” แรมกานต์ให้ความเห็นบ้าง
“ยายหัวทองคงเต้นผาง ๆ แล้วสินะตอนนี้” จีราหมายถึงอาจารย์อาวุโสวิชาประวัติศาสตร์และปรัชญาโสเภณี
ความจริงก็คงเต้นผาง ๆ มานานแล้ว
นึกถึงบทความที่เขียนโจมตีการเปิดสถาบันโสเภณีแห่งใหม่อย่างเผ็ดร้อนเมื่อวานนี้
‘...โสเภณีไม่ได้มีไว้เพื่อหาเงิน ไม่ใช่สินค้าที่จะเอาไปเร่ขายอย่างไรก็ได้ โดยหลักปรัชญาแล้ว โสเภณีคือผู้จรรโลงโลกียสุข ผู้กระทำกามกิจอันสวยงามและอ่อนหวานให้เจิดจรูญ ยังความเจริญแห่งผัสสะให้สูงสุด ดับกามกระหายให้คลายบรรเทา ปลอบประโลมและรองรับซึ่งความทุกข์ยากจากความเคียดแค้นชิงชัง โสเภณีคือผู้ประทานสันติสุขแก่โลก...’
จีราและเพื่อนทั้งสองเดินผ่านนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนตรงท่ามกลางเสียงเพลงชาติที่ดังขึ้นแทนที่เพลงคลาสสิกเมื่อครู่อย่างไม่รีบร้อน เช่นเดียวกับความคิดในสมองของใครบางคนตอนนี้.
สามารถดาวน์โหลดฉบับ E-book ได้แล้ว
สงวนลิขสิทธิ์ © 2012
ธัชชัย ธัญญาวัลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น