ซื้อ E-BOOK
![]() |
|
พระอภัยมณี
ตั้งแต่จำความได้
ข้าพเจ้าก็ไม่มีความนิยมชมชอบในมหรสพใดเป็นพิเศษ
จะบ้าบ้างก็แต่เพียงหนังจีนกำลังภายใน
หรือไม่ก็พวก เปาบุ้นจิ้น
หรือ สามก๊ก เท่านั้น
สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม ข้าพเจ้าเป็นบุคคลไม่มีความสามารถพิเศษอันใดเลย
นอกจากเรียนพอถู ๆ ไถ ๆ เท่านั้น
และบังเอิญได้เรียนดีขึ้นมาบ้างตอน ป. ๓ ป. ๔
เพราะเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น
เล่นน้อยลง
เหตุที่เล่นน้อยลงก็เนื่องมาจากโกรธกับลูกพี่ลูกน้องซึ่งเล่นกันเสมอ
ทั้งเขาชอบพูดอยู่เนือง ๆ ว่า
อย่ามาเล่นบ้านกูอีก
จนกระทั่งวันหนึ่งพลั้งปากออกไปในใจว่า
กูจะไม่มาเล่นบ้านมึงอีกแล้ว
ลึก ๆ ก็อยากไปเล่นบ้านเขาอยู่
แต่ด้วยได้เอ่ยคำสัจไปเช่นนั้นแล้ว
จึงต้องรักษาคำพูด
ข้าพเจ้าก็ไม่ไปบ้านนั้นอีกเลย
จนกระทั่งโตมาก็ไปบ้าง
โตนี่หมายถึงตอนเรียน ม. ปลาย แล้ว
จนกระทั่งตา ยาย บ้านเขาตาย
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปเผาผี
ที่ไม่ได้เผาผีนี่ไม่ได้หมายความว่ายังโกรธเขาอยู่
แต่ไม่ว่างไป
เพราะดันมาตายเอาตอนที่เราไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว
เรื่องการแสดงออกต่อหน้าประชุมชนนั้น
เป็นเรื่องไม่ค่อยถูกจริตกับข้าพเจ้านัก
จำได้ว่าสมัยอยู่ ป. ๓ เขาให้ไปว่ากลอนวันแม่
ตอนซ้อมนอกรอบก็พูดดีอยู่
แต่พอซ้อมใหญ่ ต้องพูดใส่ไมโครโฟน
รู้สึกตกใจ คือ เหมือนเสียงเราถูกดูดเข้าไปในนั้น
แล้วก็ท่องเร็วปรื๋อ
จนเขาบอกต้องว่าช้า ๆ กว่านี้นะ
เอ้า อีกรอบ
ก็อีหรอบเดิม
555
นั่นเป็นการแสดงหน้าชุมชนชาวนักเรียนครั้งแรกของข้าพเจ้า
นอกนั้นก็มีแสดงรอบกองไฟบ้างอะไรบ้าง
ในการเข้าค่ายลูกเสือ
ซึ่งไร้สาระมาก
จำได้ว่าครั้งหนึ่ง
ตอนอยู่ ป. ๖ ต้องลงสมัครประธานนักเรียน
ไอ้ประธานนักเรียนอะไรนี่ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นเลย
แต่เนื่องจากมันมีสมัครอยู่พรรคเเดียว
ซึ่งเป็นพรรคของเพื่อนสนิทข้าพเจ้าเองนั่นแหละ
เล่นดินเล่นทรายมาด้วยกัน
เขามีความกล้าในการทำกิจกรรมมาก
ไม่เหมือนข้าพเจ้า
ซึ่งไม่กล้าอะไรเลย
มิหนำยังชอบหลบหน้าผู้คนทั้งหลายอีก
แต่อาจารย์ก็อยากให้สมัคร
ไม่รู้เพราะอยากให้มีสองพรรคบ้างอะไรบ้าง นักเรียนจะได้เลือก
ได้เรียนรู้วิถีประชาธิไตยบ้าง
หรือเพราะอะไรก็บอกไม่ถูก
แต่สรุปก็คือ ในหัวสมองของข้าพเจ้าว่างเปล่า
แถลงนโยบายแบบว่างเปล่า
และได้คะแนนแบบว่างเปล่า
กระนั้นเขาก็ให้ไปเป็นทีมกรรมการนักเรียน
ซึ่งมันแปลก
เพราะปกติคนแพ้ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน
แต่นั่นแหละ
มันไม่มีคนจะทำอะไรแล้ว
แม้เป็นผู้แพ้ก็ต้องเข้าร่วมรัฐบาล
เขาก็ให้เลือกว่าจะทำงานฝ่ายไหน
ข้าพเจ้าก็อยู่ฝ่ายปกครอง
ตอนแรกอยากจะอยู่ฝ่ายความสะอาด
เพราะงานมันง่ายดี
แต่เลือกไม่ทันเขา
ก็อยู่ฝ่ายปกครอง
เขาก็จะให้รายงานทุกเช้าว่า
เมื่อวานงานของแต่ละฝ่ายเป็นยังไงบ้าง
หน้าเสาธง
ข้าพเจ้าก็ทู่ซี้รายงานไปแม่งทุกวันว่า
ทุกอย่างเรียบร้อยดี
คือเรียบร้อยทุกวัน
จนอาจารย์เขาด่าว่าฝ่ายนี้มันทำอะไรบ้างหรือเปล่า
ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะทำอะไร
ให้ไปดูเด็กแอบหนีไปซื้อขนมนอกโรงเรียนอะไรงี้เหรอ
ปัญญาอ่อน
แล้วข้าพเจ้ามันก็คนขี้เกียจ
ให้ไปทำงานอย่างนี้คงไม่ไหว
ฝ่ายความสะอาดแลดูง่ายสุด
ก็แค่ไปตรวจดูว่าห้องไหนทำความสะอาดยังไง
แล้วก็ให้คะแนน
รายงานหน้าเสาธงกันไป
มีเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างที่สุด
ตลอดระยะเวลาการเป็นนักเรียนประถมของข้าพเจ้า
ก็คือ
วันหนึ่ง
เด็กนักเรียนผู้ชายห้องข้าพเจ้า
ถูกหวดก้นยกชั้น
คำว่ายกชั้นนี่ก็ประมาณ ๖-๗ คน
เนื่องมากจากว่า
ไม่มีใครขึ้นไปเชิญธงชาติที่เสาธง
การเชิญธงชาติ
เขาก็จะมีเวรแบ่งกันเป็นห้อง ๆ ไป
วันนั้นบังเอิญว่า
ห้องข้าพเจ้า
คนที่มันเชิญประจำมันดันไม่มา
ก็เกี่ยงกัน
ไม่มีใครออกไป
สุดท้ายก็ถูกเรียกออกไปทุกคน
ไปถูกฟาดด้วยไม้เรียว
ข้าพเจ้าคิดว่า
มันเป็นการแก้ปัญหาของครูที่ห่วยแตกที่สุดในโลก
เอะอะอะไรก็ตีก้นไว้ก่อน
คือ พวกครูนี่มันมีสมองกันแค่นี้หรอกหรือ
เรื่องถูกตีนี่
ป. ๔ ข้าพเจ้าถูกตีบ่อยมาก
เพราะไม่ "กวาด" "หน้าที่"
คำว่า "หน้าที่" ก็คือ บริเวณโรงเรียน
เขาจะแบ่งกัน
ใครคนไหนต้องกวาดบริเวณไหน
ห้องข้าพเจ้าได้ถนนหน้าอาคาร
และมันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรไม่ทราบ
ถนนหน้าอาคารถูกแบ่งหมด
เหลือบริเวณป่าหญ้าเจ้าชู้ ข้าง ๆ ถนน
ก็ตกเป็นของข้าพเจ้าและเพื่อนบางคน
เวลาตรวจอาจารย์ก็ชะโงกหน้าดู
ของใครไม่สะอาด
ซึ่งของคนอื่น ๆ มันก็สะอาดอยู่แล้ว
เพราะมันเป็นถนน
พอถึงของข้าพเจ้า
ก็หาว่าไม่สะอาด
คือไม่ดายหญ้า
มันจะดายได้ยังไงวะ
หญ้าแม่งเป็นบริเวณกว้าง
เอาเวลาที่ไหนไปทำ
เอาอุปกรณ์ที่ไหน
มาโรงเรียนก็สายอยู่แล้ว
ได้แค่กวาดเศษขยะเศษใบไม้ออกไป
ก็ดีถมถืด
ข้าพเจ้าก็ถูกตีทุกวัน ก่อนเรียนหนังสือ
แล้วก็ถูกตีด้วยไม้เรียวที่ตัวเองทำนั่นแหละ
เพราะครูสั่งให้แต่ละคนทำไว้เป็นไม้เรียวประจำของตัวเอง
ทุกเช้า ๆ ก่อนจะเรียนหนังสือ
ก็จะได้ยินเสียงแต่ละคนควานหาไม้เรียวก้องกราว
ตีกันจนกระทั่งเพื่อนของข้าพเจ้า
บอกแม่มันให้ไปบอกครูว่า เลิกตีลูกเขาเถอะ
ทุก ๆ เช้าก่อนเข้าเรียน
มันก็จะปลอบใจตัวเองและพวกเรา (ที่ได้รับส่วนแบ่งอันไม่ยุติธรรม)ว่า
แม่กูไปบอกครูแล้ว วันนี้คงไม่โดนตีแล้วหละ
แต่ก็ไม่แคล้ว โดนอยู่ดี
หลัง ๆ ก็ใส่กางเกงซ้อนกางเกงนักเรียนหนา ๆ ไป
ครูมันก็เอามือจับดูก่อน
ถ้ารู้ว่าเราใส่กางเกงซ้อนมาหนา ๆ
มันก็ให้ถอดกางเกงนักเรียนออก
ความจริงพวกเราก็ไปดายหญ้าตรงนั้นก็สิ้นเรื่อง
แต่ด้วยความเป็นขบถในตัวข้าพเจ้า
บวกกับความขี้เกียจ
ข้าพเจ้าก็ไม่ทำ
เพราะมันไม่ยุติธรรมเลย
ที่คนอื่นได้ถนน
แล้วเราได้ป่าหญ้าเจ้าชู้
จนสุดท้าย
ครูก็เลิกตี
และหญ้าก็ยังอยู่เหมือนเดิม
อันนี้ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุใด
เขาอาจขี้เกียจตีแล้วก็ได้
ความประหวั่นพรั่งพรึงในการไปโรงเรียน
ก็จบสิ้นลง
พอขึ้น ม.ต้น
การแสดงออกของข้าพเจ้าก็ไม่ได้ดีขึ้น
ข้าพเจ้ายังคงเงียบขรึม
พูดน้อย
และไม่ค่อยเล่นหัวกับใครเช่นเดิม
แต่โชคดี
ที่มีห้องสมุด
ข้าพเจ้าจึงเข้าไปอ่านหนังสือ
การแสดงอย่างแรกของข้าพเจ้า
ที่ต้องแสดงออกต่อหน้าธารกำนัล
ก็คือ เซิ้งบั้งไฟ
โรงเรียนจะเกณฑ์เอาเด็ก ม. ๑
มาซ้อมเซิ้ง
เนื่องจากบุญบั้งไฟนั้นก็จะมีหลังเปิดเรียนไม่นาน
พอขึ้น ม. ๒ ก็นึกว่าจะแคล้วคลาด
ดันเป็นว่า
คนไม่พอ
เพราะเด็ก ม. ๑ มันหนี ไม่ยอมมารำ
ก็ต้องเป็นพวกข้าพเจ้า
ที่ชี้ง่ายใช้คล่อง
เซิ้งกันอยู่นั่น
เสื้อที่ซื้อเพื่อใส่รำก็ยังอยู่จนทุกวันนี้
นอกจากเซิ้งบั้งไฟนี่แล้ว
บางทีเขามีงานอะไร
ก็ต้องไปฟ้อนรำอยู่ร่ำไป
จนรู้สึกว่า ตัวเองอยู่ชุมนุมนาฏศิลป์ไปซะแล้ว
อันว่านางรำของโรงเรียนนั้น
มันก็มีแต่คนสวย ๆ งาม ๆ
สมัยเป็นเด็ก
ข้าพเจ้ามีโรคประจำตัวอย่างหนึ่ง
คืออยู่ใกล้่ผู้หญิงไม่ได้
อยู่ใกล้แล้วมันประหม่า
ตัวสั่นงันงกไปหมด
ยิ่งผู้หญิงสวย ๆ นี่ยิ่งไม่อยากเฉียดใกล้เลย
พอต้องไปซ้อมรำกับพวกนี้
ก็รำผิด ๆ ถูก ๆ
คร่อมจังหวะมั่งอะไรมั่ง
จำท่าจำทางมาทำให้ที่บ้านดู
แม่บอกว่า
ข้าพเจ้าเอวแข็ง
รำไม่สวย
จะให้มันรำสวยได้ยังไง
ขนาดไอ้ที่เขารำ ๆ กัน
ให้ดูข้าพเจ้ายังไม่อยากดูเลย
แต่นี่ต้องมารำด้วยตัวเอง
มันจะได้เร้ออออ
แต่ก็รำกันอยู่เรื่อยแทบทุกงาน จนจบ ม.ต้น
งานไหนมีเซิ้งมีรำ ก็ต้องถูกจับไปรำกับเขาหมด
ม. ๒ ข้าพเจ้ากล้าแสดงออกมากขึ้น
เพราะถูกผลักดันให้ทำกิจกรรม ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่อยากทำอะไรเลย
พอ ม. ๓ ก็เริ่มกล้าขึ้นมาบ้าง
พูดหน้าประชาคมได้บ้าง
โดยที่ขายังสั่นอยู่
คือก่อนจะพูดเนี่ย
ขามันก็สั่นไปก่อนแล้ว
แต่พอได้พูดไปหน่อย
ก็โอเคขึ้นบ้าง
เวลาพูดข้าพเจ้าเหม่อมองไปทางไหนก็ไม่ทราบ
คือไม่กล้ามองคนฟัง
ทั้งที่อ่านตำรับตำรามาเขาก็บอกให้มองคนฟัง
แต่ข้าพเจ้าก็มองไม่ได้
มองแล้วมันจะพูดไม่ออก
เป็นนิสัยติดตัวมาจนทุกวันนี้
เวลาข้าพเจ้าสนทนากับใคร
มักไม่สบตา
ถ้าสบตากับใครสักคนแปลความได้สองอย่าง
คือ
คนนั้นพิเศษมาก ๆ
ไม่งั้นก็
กูโกรธมึงมาก ๆ
เคยเล่นละครครั้งหนึ่ง
ตอนวันสุนทรภู่
เขาให้ไปเล่นเป็นพระอภัยมณี
ข้าพเจ้าพยายามปฏิเสธอย่างยิ่ง
แต่จนแล้วจนรอด
ก็หนีไม่พ้น
โดยเขาให้บทพูดข้าพเจ้าน้อยที่สุด
มากที่สุดคือ วิ่งหนีนางผีเสื้อสมุทร
สรุปก็ไม่ต้องทำอะไรเลย
วิ่งทั้งเรื่อง
นึก ๆ ดู
ก็คิดว่าเหมือนมาแข่งวิ่งมาราธอน มากกว่ามาเล่นละครเวที
จากนั้นเขาจะให้แสดงละครภาษาอังกฤษอีก
ข้าพเจ้าปฏิเสธเด็ดขาด
คือ
แค่ต้องวิ่งมาราธอนตอนวันสุนทรภู่ก็เหนื่อยพอแล้ว
ไม่อยากจะเหนื่อยมากไปกว่านี้อีก
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น