ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

รักเล็ก ๆ (เรื่องสั้น)


เป็นเรื่องสั้นแห่งความหลัง

เขียนไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นนิสิต

อยากจะเขียนงานแนวทดลอง

คือ

ทดลองห่าอะไรวะ

เพ้อเจ้อและไร้สาระมาก

เคยรวมอยู่ในเรื่อง

" เสี่ยวอ้าย : รักเล็ก ๆ "

วันนี้มาอยู่ในรวมเรื่องสั้น

"นิทานจัญไร"

ทั้งที่มันไม่จัญไรเลย

เอ๊ะ

หรือว่า

มันจัญไร





รักเล็ก ๆ 








‘เมื่อไหร่จะรักกันสักที’  ชายหนุ่มครุ่นคิด  หรือว่าระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาไม่มีความหมายอะไรเลย  
‘แต่มันก็ต้องมีบ้างแหละ’  
เขานึกถึงเมื่อแรกพบกัน  เธอช่างเป็นหญิงสาวที่แสนน่ารัก  สดใส  ไร้จริตมารยา  เขาคิดอย่างนั้นแหละ  เป็นความคิดของเขาเองทั้งหมด  ความจริงเป็นอย่างไรก็สุดจะรู้

“เฮ้ย! เรื่องของมึงนี่ออกแนวน้ำเน่ารึเปล่าวะเนี่ย”  เพื่อนผู้แสนดีของผมเสนอความคิดเห็น  ผมไม่ว่ากระไร  และยังคงเขียนต่อไป

ชายหนุ่มนึกถึงวีรกรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำร่วมกับหญิงสาว  เขาเคยพูดกับหญิงสาวกี่ครั้งไม่ทราบได้  แต่ทุกครั้งเขาจะมองหน้าหญิงสาวเสมอ  ด้วยสายตาแห่งหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก  โดยปกติเขาจะไม่มองหน้าคู่สนทนามากนัก
หญิงสาวคือคนพิเศษ

“อ้วกกกก!!!!!”  เพื่อนของผมทำท่าทางและเสียงอาเจียนได้เหมือนกว่าความเป็นจริง  นี่ถ้ามันมีเมีย  ผมคงนึกว่ามันแพ้ท้องแทนเมียจากการได้กลิ่นบุหรี่ของตัวเองเป็นแน่

ชายหนุ่มแน่ใจว่านี่คือคู่ชีวิตของเขา  มีบางอย่างที่แปลกแตกต่างกับคนอื่น ๆ 
หญิงสาวสังเกตตัวเองอยู่บ้างว่า  ทุกครั้งที่มีชายหนุ่มอยู่ข้าง ๆ   หัวใจช่างสดใส  อบอุ่น  และเชื่อมั่นในความรู้สึก  

“เพ้อเจ้อรึเปล่าวะ”  เพื่อนของผมจะมีคำถามและคำวิจารณ์อย่างเป็นกันเองดังนี้เสมอ  แทบทุกวรรคกระมัง

มันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้  มันเหมือนความผูกพันที่เป็นสายโยงยาวของเยื่อใยบาง ๆ มาจากอดีต
อดีตที่เราไม่เคยรู้
แม้กระนั้นก็ตาม  เยื่อใยเหล่านี้ดูเหมือนมีหลายเส้น  พันกันวุ่นวายไปหมด  จนสับสนและบอกไม่ถูก
บางครั้งทำให้ลังเลใจว่า  ใช่  หรือ  ไม่ใช่
ผมรีบเขียนต่อไป  เพื่อไม่ให้เพื่อนผู้แสนวิเศษได้มีโอกาสวิพากษ์วิจารณ์มากนัก  
แต่จนแล้วจนรอด
“สายใยสันดานอะไรของมึงอีกล่ะเนี่ย  มึงนี่เผลอไม่ได้  ชอบเอาอะไรมาโยงใยไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อย”

หลายวันแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้พูดคุยกับหญิงสาว  ด้วยสาเหตุอันใดก็ไม่รู้  ไม่แน่ว่าบางทีชายหนุ่มอาจจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจหญิงสาว  หรือหญิงสาวอาจจะงอนชายหนุ่ม  เรื่อง  “หญิงสาวแสนงอน”  เป็นเรื่องปกติในชีวิตของชายหนุ่มไปแล้ว  ซึ่งก็ไม่ค่อยแตกต่างไปจากเรื่อง  “ชายหนุ่มแสนง้อ”   สักเท่าไหร่
ไม่ว่าชายหนุ่มจะทำอะไร  ที่ไหน  เมื่อไหร่  อย่างไร  หญิงสาวก็ตั้งท่าจะงอนท่าเดียว  แน่นอน  ชายหนุ่มก็ต้องง้อ  ทั้งที่ในชีวิตนี้ไม่เคยง้อใคร  ไม่เคยตามใจหรือเอาใจใคร  เคยแต่เอาแต่ใจตัวเอง
บางครั้งความรักก็ไร้เหตุผล

“ถุยยย!!!”  เพื่อนผู้น่ารักของผมแสดงความชื่นชม...คิดว่าอย่างนั้น

หญิงสาวชอบทำงานจนดึกดื่น ( บางทีหล่อนอาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่จำเป็นต้องทำเพราะมันหมายถึงชีวิตและอนาคต )  ถึงจะไม่ใช่หน้าที่หรือธุระกงการอะไรของชายหนุ่ม  เขาก็ต้องพยายามอยู่ด้วยตลอดเวลา
แม้ในมุมที่มองไม่เห็น

“มึงหยุดเขียนเหอะ”  เพื่อนผู้หวังดีของผมบอก  เหตุผลก็คือ
“มันไร้สาระว่ะ”  
ผมทำหน้าตาเฉยชา

“เคยฟังเรื่องเจ้าชายสายฝนกับเจ้าหญิงสายหมอกมั้ย”  ชายหนุ่มถามหญิงสาวในวันหนึ่ง
“ไม่เคย  ไม่ชอบฟังเรื่องไร้สาระ”  หญิงสาวตอบหน้างอ
ความจริงก็ทำหน้างอไปอย่างนั้นเอง  เพราะไม่รู้จะทำหน้าตาอย่างไร  จึงต้องขอเก๊กงอไว้ก่อน
“งั้นเดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ”  ชายหนุ่มหน้าอมยิ้ม  พยายามยียวนให้น้อยถึงน้อยที่สุด
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ฟังเรื่องไร้สาระ  --บ้านี่”
“ฟังเหอะ  อุตส่าห์หามาแล้วอ่ะ”  
“จะทำงานแล้ว  ไม่เห็นรึไง”
“ก็ไม่ได้เอาหูทำซะหน่อย”  
“เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่ฟัง ๆ ไปไกล ๆ เลย”

“พ่อแง่แม่งอนจริงนะมึง”  เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้น  กัลยาณมิตรคนเดิมของผมนั่นแหละครับ


เจ้าชายสายฝนกับเจ้าหญิงสายหมอก

ดึกมากแล้ว
เขาทั้งสองนั่งอยู่  ความเงียบเต้นรำเริงร่า
เจ้าชายสายฝนกับเจ้าหญิงสายหมอก
เจ้าชายสายฝนมองหน้าเจ้าหญิงสายหมอก
เขารักเธอแน่แท้ทีเดียว
เจ้าหญิงสายหมอกมองหน้าเจ้าชายสายฝน
เธอรักเขาอยู่บ้างดอกกระมัง  
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปช้า ๆ และช้า ๆ 
แต่เร็วเหลือเกินในความรู้สึก  
เจ้าชายสายฝนยังคงพร่ำบอกอยู่อย่างนั้นว่า  ฉันรักเธอนะเจ้าหญิงสายหมอก...ฉันรักเธอนะเจ้าหญิงสายหมอก...ฉันรักเธอนะเจ้าหญิงสายหมอก...
หวังเล็ก ๆ ว่า  เจ้าหญิงสายหมอกคงจะรับรู้ผ่านทางดวงตา  
ใครก็ไม่รู้บอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ
หากแม้เป็นจริงเช่นนั้น
เจ้าหญิงสายหมอกคงจะรับรู้ไปแล้วว่าเจ้าชายสายฝนรักเธอมากขนาดไหน
นั่นน่ะสิ
ก็เขานั่งมองตากันมากี่เพลาแล้ว

...

เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
“ฉันชื่อเจ้าชายสายฝน”  เขาพูด
“ฉันชื่อเจ้าหญิงสายหมอก”  เธอพูด
จากนั้นความเงียบก็แผ่ทั่วทุกอณูของบริเวณ  
เว้นแต่หัวใจของเจ้าชายสายฝน  ที่เต้นตูมตามเสียงดัง  เขาพยายามบอกกับตัวเองว่า  ‘หัวใจข้าเอ๋ยอย่าเต้นแรงนัก  ประเดี๋ยวเจ้าหญิงสายหมอกจะได้ยิน’  แม้เขาไม่รู้เกี่ยวกับเจ้าหญิงสายหมอกว่าเธอคิดเช่นไร  หัวใจเธอจะเต้นตูมตามเหมือนเขาหรือไม่  ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก  มันสำคัญที่ว่า
‘ทำอย่างไรหนอ  จึงจะได้เจอเจ้าหญิงสายหมอกอีก’

...

แม้จะรู้จักกันมานานแสนนาน
เจ้าชายสายฝนก็ไม่ใคร่ได้สนทนากับเจ้าหญิงสายหมอกนัก  ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด
ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
เจ้าชายสายฝนจะเพียงแค่มองหน้าเจ้าหญิงสายหมอก
และเจ้าหญิงสายหมอกก็จะเพียงแค่มองหน้าเจ้าชายสายฝน
บางครั้ง   ไม่ใช่สิ  หลายครั้งด้วยซ้ำไป  ที่เจ้าชายสายฝนทำเป็นไม่เห็นเจ้าหญิงสายหมอกและเจ้าหญิงสายหมอกก็กลัวจะเสียหญิง  ทำเป็นไม่เห็นเจ้าชายสายฝน
จึงได้แต่ลอบมองกันไปมา
เจ้าชายสายฝนลอบมองเจ้าหญิงสายหมอก
เจ้าหญิงสายหมอกก็ลอบมองเจ้าชายสายฝน
หลายครั้ง  อืม...ก็บางครั้งเหมือนกัน  ที่สายตาทั้งคู่ประสานกันเข้า  เจ้าชายสายฝนก็จะแกล้งเสมองไปทางอื่น  ส่วนเจ้าหญิงสายหมอกนั้นแกล้งเมินหน้าหนีเสีย

...

“ฝากไว้ให้เจ้าหญิงสายหมอกด้วยนะ”  เจ้าชายสายฝนฝากไม้วิเศษสีฟ้าไว้ให้เจ้าหญิงสายหมอก
หญิงเฝ้าประตูรับคำอย่างดี
“จะให้บอกว่าใครฝากมาคะ”  เธอถาม
“ไม่ต้องบอก  บอกแค่ว่ามีคนฝากมาให้”
แล้วเจ้าชายสายฝนก็เดินจากไป
หญิงเฝ้าประตูทำหน้างง

...

ไม้วิเศษสีฟ้า  นั่นไง  เจ้าหญิงสายหมอกถืออยู่  เธอถือมันด้วยความยินดี  นั่นแปลว่าเธอชอบมันหรือเปล่า  หมายถึงมีใจแบ่งปันให้กับคนที่ฝากมันไว้ให้เธอน่ะ
‘เธอจะรู้หรือไม่หนอ  ว่าฉันฝากมันไว้ให้เธอ’ เจ้าชายสายฝนคิด
‘แน่นอนเธอย่อมรู้’ เขาคิดเข้าข้างตัวเอง  เขามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ  ‘ถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองแล้วใครจะเข้าข้างเรา’  เป็นคติประจำใจบทหนึ่งของเจ้าชายสายฝน
หรือแม้ว่าเธอไม่รู้  อย่างไรเสียเขาก็ยินดี  เพราะเขาได้มอบความรักผ่านไปทางไม้วิเศษสีฟ้านั่นแล้ว  เขาได้ให้ในสิ่งที่รักแก่คนที่เขารักแล้ว

...

ทุก ๆ เช้าของทุก ๆ วัน  เจ้าชายสายฝนจะมาที่ห้องเรียนเต้นรำก่อนใคร ๆ พร้อมความรักที่หอบมาเต็มหัวใจ
เขาพร้อมที่จะมอบมันให้กับเจ้าหญิงสายหมอกของเขา  นั่นไง   เขาคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว  เขาคิดว่า  ‘เจ้าหญิงสายหมอกของเขา’  เขาไม่เคยยิ้มหรือทักทายเจ้าหญิงสายหมอกเลย  มีเพียงความรักที่เงียบงัน  ที่เขาหอบมาด้วยเท่านั้นที่เขาแอบมอบให้แก่เธอ  ซึ่งเธออาจไม่รู้และไม่เคยรับรู้ด้วยกระมัง
ในวันที่เจ้าหญิงสายหมอกมาสาย  ( แน่นอน  มันคือแทบทุกวันนั่นแหละ  เจ้าหญิงสายหมอกมาสายเสมอ  ทำไมเป็นคนอย่างนี้ก็ไม่รู้ ) เจ้าชายสายฝนจะคอยชะเง้อชะแง้แลมองว่า  เมื่อไหร่เธอจะมาถึงสักที  ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเหลือล้น

...

ใกล้วันปิดหลักสูตรการเรียนวิชาเต้นรำเข้ามาทุกที  เจ้าชายสายฝนใจหายอย่างบอกไม่ถูก  เขาอาจจะได้พบกับเจ้าหญิงสายหมอกอีก  หรืออาจจะไม่เลยตลอดชีวิต
‘ทำอย่างไรดี’  เจ้าชายสายฝนคิด
วันสุดท้ายของการเรียนเต้นรำ  แน่หละ  วันนั้นจะมีงานเต้นรำที่จัดขึ้นเพื่อจำลองบรรยากาศของงานเต้นรำจริง ๆ เพื่อให้ทุกคนที่เรียนวิชานี้ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่
‘นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของเราแล้วสินะ’ เจ้าชายสายฝนรำพึงกับตัวเอง  เขาตั้งใจจะบอกรักเจ้าหญิงสายหมอกในวันนั้น

...

“ฉันต้องไปแล้วนะเจ้าชายสายฝน”  ความเงียบถูกทำลายโดยคำพูดของเจ้าหญิงสายหมอก  และมันก็ทำลายบางสิ่งข้างในของเจ้าชายสายฝนด้วย  
เสียงครืนดังสนั่น  
แต่ไม่มีใครได้ยิน
“เอ่อ...”  เจ้าชายสายฝนพูดอะไรไม่ออก  ใจหนึ่งหายวับ  อีกใจหนึ่งก็สับสน
เจ้าหญิงสายหมอกลุกขึ้นและกำลังเดินออกไป
“เดี๋ยวฉันไปส่งนะ”  
“ฉันกลับเองได้”
“หมายถึงไปส่งที่หน้างานน่ะ”  
‘ทำไมเป็นคนอย่างนี้  ทำไมไม่บอกว่า  ไม่เป็นไรหรอกขอให้ฉันไปส่งเธอเถอะ’   เจ้าชายสายฝนไม่พอใจตัวเอง  เป็นอย่างนี้กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้  
จริง ๆ แล้วแม้ว่าเขาจะพูดออกไปเช่นที่คิด  เจ้าหญิงสายหมอกก็จะยังยืนยันคำเดิมนั่นแหละ  เธอเป็นอย่างนี้เสมอ  เจ้าชายสายฝนรู้ดีกว่าใคร
“เ...เอ่อะ…”  เจ้าชายสายฝนพูดได้แค่นั้น  
เจ้าหญิงสายหมอกเดินจากไปแล้ว

...

เมื่อไม่ได้เรียนเต้นรำ  เจ้าชายสายฝนก็ไม่ได้เจอเจ้าหญิงสายหมอกอีก  เขาพยายามสืบเสาะจนรู้ว่าเจ้าหญิงสายหมอกลงเรียนวิชาอะไรบ้างในซัมเมอร์นี้
เป็นซัมเมอร์สุดท้ายที่เขาอาจจะได้เจอเจ้าหญิงสายหมอกและได้เรียนด้วยกัน  
ก็พวกเขาจะจบการศึกษาแล้วนี่

...

“เจ้าหญิงสายหมอกไม่สบายค่ะ”  หญิงเฝ้าประตูบอก  เจ้าชายสายฝนไปหาเจ้าหญิงสายหมอกที่พระราชวัง  
แม้จะด้วยความสิ้นหวัง
“ขอเข้าไปเยี่ยมหน่อยได้หรือไม่ครับ”
“รอสักครู่นะคะ”

นานมากแล้ว  
ไร้ร่างและเสียงของหญิงเฝ้าประตู
การเข้าไปในพระราชวังของเจ้าหญิงสายหมอกมีอะไรยากเย็นนักหรือ

ใกล้ค่ำแล้ว
เจ้าชายสายฝนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“มืดแล้ว  ทางวังไม่อนุญาตค่ะ”
“ครับ  ขอบคุณ”
‘แล้วที่ผ่านมาตั้งนานล่ะ’  เจ้าชายสายฝนคิด  ก่อนที่จะเดินจากไป

...

หากใครมาเห็นเข้า  เจ้าชายสายฝนต้องถูกประหารชีวิตแน่ ๆ 
‘ห้องเจ้าหญิงสายหมอกอยู่ไหนนะ’  หัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ที่เต้นไม่เป็นจังหวะถามลมถามแล้งไปอย่างนั้น
‘นั่นกระมัง  ผ้าม่านสีชมพูนั่น’
ไม่ผิดแน่แท้เทียว
เจ้าหญิงสายหมอกนอนนิ่งอยู่  ใบหน้าเคยสดใสงดงาม  บัดนี้แลดูหม่นหมองนัก

...

เสียงคนเดินดังกึก ๆ 
เจ้าชายสายฝนรีบหาที่ซ่อนตัวโดยด่วน
“หมดทางรักษาแล้วหรือ”  
พระบิดาของเจ้าหญิงสายหมอกพูดกับหมอหลวง  เสียงนั้นฟังดูอ่อนแรง  ดวงตาคล้ายเต็มไปด้วยแววแห่งความโศก
หมอนิ่งเงียบ  ก้มหน้าต่ำลง

...

หัวใจเจ้าชายสายฝนร้อนรุ่มดังสุมไฟอะไรเช่นนั้น
‘หมายความว่าอย่างนั้นเลยหรือ’
‘หมดทางรักษา’
‘ไม่สิ’
เจ้าชายนั่งนิ่งอยู่
‘ไม่ได้ฝันไปแน่ ๆ’

...

“นี่มึงเล่นเขียนซะยาว  กะจะไม่ให้กูพูดเลยเรอะ”  เสียงที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครดังขึ้นทำลายความเงียบ
“นี่เมื่อไหร่มึงจะเลิกประพฤติตัวเป็นผู้ว่าซักที  หา!”  ผมเริ่มทนไม่ไหว
“ผู้ว่าอะไร”  มันถาม
“ก็ว่ากูนี่แหละ  ไอ้ห่า!  ว่าอยู่ได้  มึงมาเขียนเองเลยมั้ย”  “ก็กูไม่ใช่นักเขียน”
“ก็แล้วอย่าเสือก!”  น้ำเสียงโมโหสุดขีด
ความเงียบไหลเลื่อนเข้าครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณ  รวดเร็วราวสายน้ำที่ไหลเชี่ยวในฤดูน้ำหลาก  ทุกอย่างเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน  

ผมหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา
ค่อย ๆ  จรดปลายปากกาคอแร้งคู่ทุกข์คู่ยากลงไปช้า ๆ 
หมึกสีท้องฟ้ายามเที่ยงคืนรื่นเริงใจ  ออกมาวิ่งเล่นกันสนุกสนาน
อารมณ์ขุ่นมัวค่อย ๆ  คลี่คลาย


แล้วเราก็รักกัน

เสียงรถชนิดต่าง ๆ ที่วิ่งอยู่บนถนนแผดผ่านเข้ามาสู่หูทั้งสองของข้าพเจ้าไม่ขาดสาย  เป็นความโชคดีของมนุษย์ไม่น้อย  ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งรอบข้างได้  โดยอาศัย  “ความเคยชิน”  แม้บางครั้งจะคล้าย ๆ ว่าเป็น  “ความชาชิน”  เสียก็ตาม  
ชีวิตที่ต้องดิ้นรนขวนขวายและเลือกไม่ใคร่จะได้  บีบบังคับให้มันต้องเป็นเช่นนั้นกระมัง
สองทุ่มสิบนาที : ข้าพเจ้าเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแสนธรรมดาของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ 
สองทุ่มสิบนาที : ในเมืองหลวงเช่นนี้  สำหรับใครบางคนหรือหลาย ๆ คน   การดำเนินชีวิตเพิ่งจะเริ่ม ยังไม่ทันเริ่ม หรืออาจจะสิ้นสุดลงแล้ว
สองทุ่มสิบนาที : เป็นช่วงนาทีทองสำหรับกอบโกยกำไรของพ่อค้าแม่ค้า  ในตลาดโต้รุ่งที่แสนจะคึกคักและคึกครื้น
สองทุ่มสิบนาที : ป่านนี้ที่บ้านของข้าพเจ้ากำลังทำอะไรอยู่นะ  อาจจะดูละครน้ำเน่า เตรียมข้าวของเพื่อไปขายที่ตลาด  หรือนอนหลับไปแล้ว
ชีวิตในชนบทไม่ได้มีแสงสีอะไรมากมาย  ยังไม่ถึงสี่ทุ่มดี  ชาวบ้านก็ปิดไฟนอนกันเงียบทั้งหมู่บ้าน
นอกจากวันไหนมีมหรสพ  หรือมีหนังกลางแปลง
จำได้สมัยที่ยังเป็นเด็ก  ข้าพเจ้ารู้จักคำว่า  “โต้รุ่ง”  เป็นครั้งแรกก็จากหนังกลางแปลงนี่เอง
ในโลกของเด็ก ๆ  ตัวเล็ก ๆ  การได้ไปดูหนังกลางแปลงจนกระทั่งเขาฉายจบทุกเรื่อง ( ซึ่งส่วนมากก็จะเช้าพอดี ) นับว่าเป็น “วีรกรรม”  อย่างหนึ่งเลยทีเดียว
ตอนเช้าของฤดูหนาว บรรยากาศอุ่น ๆ ที่โรงเรียน  เหล่า  “วีรบุรุษ”  ทั้งหลายจะแย่งกันฝอยฟุ้งเกี่ยวกับเรื่องราวในหนังที่ตัวเองไปดูมา
คำประกาศกล้าประโยคแรกที่ทุกคนต้องพูดก็คือ  “เมื่อคืนกูไปดูหนังจนโต้รุ่ง” แล้วเรื่องราวในหนังก็จะถูกฉายซ้ำโดยเหล่านักเล่าเรื่องตัวน้อย  มีท่าทางประกอบการแสดงเป็นบางฉากในช่วงของความประทับใจ ( หรืออาจจะเป็นช่วงที่ตื่นขึ้นมาดูพอดี )  บทสนทนานี่เอง  ที่จะเป็นตัวบอกว่า  ใครเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ตัวจริง   

...

“เรื่องที่แล้วยังไม่จบเลย”  เสียงนั้นท่าทางเกรงใจแบบอดไม่ไหว
“เซ็ง”  ผมพูด
“เจ้าชายสายฝนกับเจ้าหญิงสายหมอกจะเป็นยังไงต่อ”
“ไม่รู้”
“แล้วชายหนุ่มกับหญิงสาวล่ะ”
“ก็ไม่รู้”

“จบแล้วเหรอ”  หญิงสาวพูด
“อื้อ”  ชายหนุ่มเปล่งเสียงในลำคอ  ก่อนจะพูดต่อ
“เรื่องมันมีอยู่แค่นี้แหละ เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด...อยากให้มันสิ้นสุดไหมล่ะ”
หญิงสาวไม่ตอบว่ากระไร

ผมวางปากกาลง  เดินไปกดน้ำที่ตู้เย็น
“มึงกลับไปได้แล้ว  กูอยากพักผ่อน”
เพื่อนทำตามอย่างว่าง่าย  มันรู้จักผมดีพอสมควร
“ล็อกประตูด้วย”
ห้องของผมตอนนี้  เงียบสงบอย่างรุนแรง

...

กาลครั้งหนึ่ง  ยังมีตรีสองนาง  ชื่อนางไวรินกับนางไวรา  ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน นางไวรินเป็นพี่  นางไวราเป็นน้อง  ผู้คนทั้งหลายเมื่อยินชื่อนางทั้งสองก็มักจะอดถามเสียมิได้ว่า  ชื่อไวรินและไวรานั้น  มีความหมายว่าอย่างไร  ไม่นางไวรินก็นางไวราคนใดคนหนึ่ง  ที่จะต้องอธิบายความหมายชื่อของตน  อย่างยืดยาว
“คือว่าอย่างนี้  เมื่อสมัยก่อนที่ยังไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกเนี่ย  โลกเต็มไปด้วยสัตว์ชนิดหนึ่ง ความจริงจะว่าไปแล้วก็ไม่เชิงว่าเป็นสัตว์เสียทีเดียวหรอก  เป็นกึ่งพืชกึ่งสัตว์  คือตอนกลางวันที่ได้รับแสงแดด  มันจะสร้างอาหารได้เองจากแสงแดด  เหมือนต้นไม้น่ะค่ะ  แต่ที่มันเหมือนสัตว์ก็คือ  มันไปไหนมาไหนได้วยขาทั้งสามของมัน...”
โดยมากแล้วการตอบคำถามมักจะสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ เพราะคนส่วนใหญ่  ไม่มีเวลาฟังเรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบของนางทั้งสอง
นอกจากบางครั้ง  ที่บางคนอยากรู้ว่านางทั้งสองจะเล่าเรื่องต่อไปแค่ไหนและเกี่ยวข้องกับชื่อไวริน ไวรา  อย่างไร  ก็อดทนฟัง
“...มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกยิ่งกว่าแปลก  แต่ยุคนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะทุก ๆ ตัวก็เหมือนกันหมด  ตาของมันมีเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น  การรับรู้ภาพก็ไม่ค่อยดีนัก  ทำให้มันเดินชนกันบ่อย ๆ  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  มันก็ไม่ล้มอยู่ดี  เพราะมันมีตั้งสามขา  
และอีกอย่างเท้าของมันก็ใหญ่มากและเป็นรูปวงกลม  สูงประมาณครึ่งฟุตเห็นจะได้  
การเดินของมันแปลกกว่าที่เราคิดว่าจะเป็นไปได้ก็คือ จะก้าวพร้อมกันทีละสองขา  อ้อ! ลืมบอกไป  มันมีขาหน้าสองขา  ส่วนขาหลังมีขาเดียว  ที่เดินทีละสองขาก็เป็นเพราะว่า...”
แม้จะอยากรู้เพียงใดก็ตาม แต่ก็ต้องจนแต้มให้กับเวลาอันเป็นเงื่อนไขสำคัญ  ชีวิตต้องดำเนินไป  การหยุดฟังเรื่องราวที่คล้ายว่าจะไร้สาระเป็นสิ่งที่ไร้สาระ

“โอ๊ย! อย่าไปฟังเล้ย  เรื่องบ้าบอคอแตก”  เสียงหนึ่งดังขึ้นในวงสนทนา
“มันประสาทรึเปล่าวะ  แค่ถามว่าชื่อมันแปลว่าอะไร  เล่าซะยาว”  อีกเสียงพยายามให้ความเห็น
“ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรของมัน พูดไปเรื่อย”  การแสดงความคิดให้คล้ายคลึงกับคนอื่นเป็นเรื่องทำได้ง่าย ๆ  เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าอยู่ในชนกลุ่มใหญ่  และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
“แต่ข้าว่าก็สนุกดีนะ”  ฟังดูคงจะพูดทีเล่นทีจริง
“สนุกกะมารดาเอ็งสิ  ไปถามให้มันพูดอยู่ได้  น่ารำคาญ”
“แล้วลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้”
“พอถามถึงพ่อแม่มัน  ก็ว่าไปโน่น  ตั้งแต่สมัยก่อนสัตว์ประหลาดออกไปอีกโน่นแหละ  นี่ถ้าถามว่าปู่ย่าตาทวดของมันเป็นใคร  คงเลยไปตั้งแต่ยังไม่มีโลกเกิดขึ้นเลยมั้ง”
“แกนี่ก็ท่าจะบ้าตามมันไปแล้วนะ”
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงประสานกันดังได้ยินไปไกล
“น่าจะบอกให้มันไปอยู่หมู่บ้านสุนสุ่นนิเวศนะ”  ความคิดเห็นหนึ่งเสนอขึ้น
“เออ! เข้าท่า  คนประหลาด ๆ ก็ต้องไปอยู่ที่ประหลาด ๆ เหมือนกับพวกประหลาดทั้งหลายที่นั่น”
“แล้วใครจะเป็นคนบอกทางมันล่ะ”
“ข้าเอง ๆ”

...

“เดี๋ยวไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะ”
“ไม่ต้อง”  หญิงสาวไม่เงยหน้า  มือก็กำลังพยายามเก็บของอย่างรวดเร็ว  
มือสองมือบังเอิญสัมผัสกันเข้า  
หัวใจไหวหวิว
“ดึกแล้ว  อันตราย”
“ทุกวันก็ไม่เห็นมีอะไร”
“นั่นมันวันอื่น  วันนี้คือวันนี้  ไม่เหมือนกัน”
“เหมือนกันนั่นแหละ”
ชายหนุ่มยกของขึ้นบางส่วน
“เดี๋ยวเก็บเอง” น้ำเสียงไม่ได้แตกต่างจากใบหน้างอ ๆ เท่าใดนัก
เหมือนไม่ได้ยิน  เขาเดินไปที่ตู้เก็บของหน้าตาเฉย
หญิงสาวถืออะไรที่เหลือเดินตามมา

‘ใครจะรักผู้ชายเลว ๆ   หน้าตาไม่ดี  เคยใช้ชีวิตผิดพลาด  และมีอนาคตที่ไม่แน่นอน’  ชายหนุ่มครุ่นคิดเป็นครั้งที่สองร้อยสิบสอง  
แต่ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้น  หากหญิงสาวรักเขา  น่าสงสารเธอนัก ผู้ที่อาจแปดเปื้อนด้วยคำนินทาเพราะคบหากับเขา  ถูกคนอื่นมองว่าไม่ดี  หรือโง่งมงายซะเหลือเกิน  
เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก เป็นห่วงแต่ความรู้สึกของหญิงคนรักเท่านั้น
นึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่ง  
คนที่ยังรักเราในเวลาที่คนอื่นเห็นว่าเราไม่ดี  
‘คนที่อยู่ข้าง ๆ ในวันที่เราผิดพลาดและล้มลง 
คือคนที่เราสมควรรัก’ 
ใช่  เราสมควรรัก  แม้เธอจะไม่อยู่ข้าง ๆ  อย่างที่คำพูดนั้นว่า  
เราก็สมควรรัก
แล้วเธอล่ะ  สมควรรักเราหรือ ? 

ทางเดินกลับที่พักเปล่าเปลี่ยว  แสงไฟหมองหม่น
เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง  เจ้าหญิงสายหมอกตัวจริงของเขา
เขารีบบอกรักเธอดีหรือเปล่า  เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่า  
พรุ่งนี้จะยังมีอยู่

...

มองต้นฉบับหลายเรื่องที่ยังเขียนไม่เสร็จ  ดูความคิดที่ขีด ๆ เขี่ย ๆ ไว้บนกระดาษเลอะหยดหมึกนั้น
ผมชอบเขียนต้นฉบับบนกระดาษหน้าเดียว  ไปขอจากร้านถ่ายเอกสาร  หรือกระดาษที่ใช้แล้วของตัวเอง  เขียนเสร็จก็แก้บ้างไม่แก้บ้าง  แล้วค่อยเอามาพิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์อีกที  
เสียเวลาเหมือนกัน  
แต่ก็มีความสุข
ระเบียงยังเหมือนเดิม  ท้องฟ้าเปลี่ยนไป
บ่ายวันนี้แดดสวยนัก.



ธัชชัย  ธัญญาวัลย  -เขียน

ไม่มีความคิดเห็น: