ว่าจะเขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ทีไร
ก็อดไปเขียนบทกวีรักไม่ได้
ว่าจะเขียนเรื่อง
การทำขนมจีน การทอผ้า
การทำลอดช่อง การปั่นด้ายด้วยมือ
และการทอเสื่อ
แต่ก็เก็บไว้ก่อน
๕ เรื่องด้านบนนั้น เป็นเรื่องที่
ที่บ้านของข้าพเจ้าเคยทำมาแล้วทั้งสิ้น
ไม่นับการปลูกข้าว หรือทำไร่
แม้กระทั่งการทำมาค้าขายอื่น ๆ
มีคนถามว่า
ทำไมข้าพเจ้าไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำฟัน
ให้มันร่ำ ๆ รวย ๆ ไปเสีย
จะได้รีบเกษียณ
ไม่ต้องทำงานหนัก
เอาเงินไปซื้อหุ้นปันผล
กินกันตลอดชาติ
สบายไป
ข้าพเจ้าก็ได้แต่บอกว่า
ข้าพเจ้าไม่ได้หวังความร่ำรวยอะไรนัก
ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ข้าพเจ้ารัก
ซึ่งสิ่งที่รัก
บางสิ่ง
ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดเงินทอง
หากกลับสิ้นเปลืองเงินทองเสียอีก
การทำสิ่งที่รักเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง
หากจะพูดให้ครอบคลุมที่สุด
ก็ต้องบอกว่า
ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของข้าพเจ้า
หากจะให้ทำงานหาเงินงก ๆ
คงไม่ใช่วิถีชีวิตของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าชอบทำอะไรหลาย ๆ สิ่ง
เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง
และแต่ละอย่างที่เรียนรู้
ต้องทำให้ดีที่สุด
เรียกง่าย ๆ ว่า
ทำอย่างหลงใหลคลั่งไคล้ ก็ได้
ข้าพเจ้าหลงใหลในทุกสิ่งที่ทำ
ไม่ว่าจะทำหนังสือก็ตาม
ถ่ายรูป ก็ตาม
ทำฟัน ก็ตาม
(หรือแม้กระทั่งการปฏิบัติสมาธิภาวนา)
ข้าพเจ้าทำอย่างหลงใหล
ทำอย่างศิลปิน
ทำให้ดีที่สุด
ไม่ใช่ทำเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
ถ้าจะพูดให้ดีหน่อย
ก็ต้องบอกว่า
ทำด้วยความพากเพียร
ทำด้วยความเพียรพยายาม
แน่นอน
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนมีเงินมีทองอะไรนัก
แต่ก็ไม่ถึงขนาดอดอยากขาดแคลน
ความอดอยากขาดแคลนจะไม่มีแก่ข้าพเจ้า
อีกแล้ว
นับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานว่า
ขออย่าให้ข้าพเจ้าอดอยากขาดแคลน
เมื่อคราวที่ตักบาตรพระวัดบ้านจิก
สมัยเรียนมัธยมปลาย
ข้าพเจ้าชอบความเพียรพยายามเป็นพิเศษ
เวลาข้าพเจ้าอยากได้อะไร
ดูเหมือนต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นสักสองเท่า
ไม่ค่อยมีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย
หรืออะไรที่ได้มาง่ายดายจนเหลือเชื่อ
สิ่งนั้นมักอยู่กับข้าพเจ้าไม่นาน
ข้าพเจ้าเริ่มทำสมาธิ พอ ๆ กับเริ่มอ่านหนังสือและเขียนหนังสือ
ควบคู่กันมา
ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง
ในการที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่หลงไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป
มีหลักคิดที่แน่นอน
และยืนหยัดในอุดมคติของตนโดยไม่ต้องเดินทางผิด
ไปกับลัทธิความเชื่องมงายอะไรบางอย่าง
ความเสียใจและเศร้าโศกมักเกิดขึ้นเสมอ
เป็นรอบ ๆ
อาจจะทุกห้าปี หรือทุกกี่ปีก็แล้วแต่
จะมีเรื่องโศกเศร้าเข้ามาในชีวิต
ข้าพเจ้าเคยผ่านมันมาได้
และเรื่องล่าสุด
เป็นความเสียใจอย่างเจ็บช้ำ
และแค้นเคือง
ข้าพเจ้าก็ผ่านมาได้แล้ว
ดูเหมือนว่า
สิ่งที่ช่วยเหลือข้าพเจ้าอยู่ตลอด
จะเป็น ธรรมะ
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังรู้สึกได้ถึงกระแส
แห่งความเมตตา
ที่ครูบาอาจารย์ส่งมาถึงข้าพเจ้าอีกด้วย
ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า
นับว่าเป็นผู้ประเสริฐ
เป็นผู้รู้แจ้งแล้ว
ข้าพเจ้ารับกระแสนั้นได้
เมื่อเกิดเหตุร้าย ๆ ขึ้นในชีวิต
ไม่รู้ว่าชีวิตจะเกิดอะไรขึ้นอีก
เพราะเมื่อเรามีบุญบารมีมากขึ้น
สิ่งที่มาทดสอบเรา
ก็ต้องเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ
ท้ายสุด
ก็อาจหนีไม่พ้น
ต้องลาจากโลกนี้ไปเป็นแน่แท้
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ไม่เร็วก็ช้า
และข้าพเจ้า
ก็ต้องเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗