เรื่องกางเกงในนี้ข้าพเจ้าเขียนไว้และเผยแพร่ตั้งแต่ปี ๒๕๔๘
ผ่านไปแล้ว เกือบสองปี
มีแฟชั่นยุคใหม่ คือ ไม่ใส่กางเกงใน
ความจริงมันเป็นแฟชั่นยุคใหม่แน่หรือ
ความจริงสมัยก่อนใครเขาใส่กางเกงในกัน
ความจริงมันจะใส่หรือไม่ใส่กางเกงในก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล
และความจริงการไม่ใส่กางเกงในก็ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี
จากการอนุมานอย่างโง่ ๆ ของข้าพเจ้าเอง เขาบอกว่า
การใส่กางเกงในเป็นวัฒนธรรมอันดี
คิดว่าก็คงไม่ถูกต้องเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอก
สมัยก่อนไม่เห็นมีกางเกงใน หรือมันมี ข้าพเจ้าไม่รู้
แต่จากหลักฐานทางประสบการณ์
สมัยเป็นเด็ก ๆ เขาจะมีเพลงร้องล้อเล่นกัน
ดังนี้
" แต่ก่อนนานมา ....(ใส่ชื่อคนที่เราต้องการล้อ)ไม่มีกางเกง
ปล่อย...(sensor)ยานโตงเตง นุ่งกางเกงไม่มีราคา"
ขนาดกางเกงยังไม่มี แล้วกางเกงในมันจะเหลือเรอะ
แต่เพลงนี้ออกจะสับสันอยู่บ้าง ว่า ทำไมวรรคสุดท้ายบอกว่า นุ่งกางเกงไม่มีราคา
หรือข้าพเจ้าจำมาผิด ถ้าเป็นดังนั้นก็ต้องโทษความจำในอดีตของข้าพเจ้าที่มันไม่เอาไหน
หรืออีกประการหนึ่ง คำว่า กางเกงไม่มีราคา อาจหมายถึงกางเกงที่ไม่ทันสมัย หรือตัดเย็บเอง ทำนองนั้นหรือเปล่า
ก็ช่างหัวมันเถอะ เอาเป็นว่า
ยุคสมัยหินหรือยุคก่อนหินหรือยุคใด ๆ นมนานผ่านมา
ก็ไม่เห็นมีกางเกงใน
ก็ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์มาได้
ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่จะมาวิจารณ์กันเรื่องใส่หรือไม่ใส่กางเกงใน
เอาเวลาไปคิดอย่างอื่นเถอะ
ประเทศไทยจะได้เจริญกว่านี้
แต่บทความข้างล่างที่จะเสนอต่อไปนี้
เป็นการคิดเพ้อเจ้อของข้าพเจ้า หาได้มีความน่าเชื่อถืออันใดไม่
เขียนเล่น ๆ เพราะอยากเขียนและว่าง
ที่ไม่อยากเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นก้เพราะเกรงว่า
เดี๋ยวประเทศชาติจะเจริญไปมากกว่านี้
กางเกงใน ตอนที่ ๑
สมัยเมื่อเป็นเด็ก ๆ ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือเรื่องหนึ่ง
ชื่อ “ของฝาก” ( จำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนแต่ง )
ในนั้นก็มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งชื่อเรื่องว่า “กางเกงใน”
ทำนองว่า ตัวเอกในเรื่อง ( ซึ่งเป็นผู้ชาย ) ไม่ชอบใส่กางเกงใน
วันหนึ่งเจ้านั่นของเขา ก็ดันซิปออกมาข้างนอก ( โอเวอร์มาก )
ขณะเปลี่ยนหลอดไฟที่สำนักงาน
ท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน ( สาว ๆ ) ว่าอย่างนั้น
และอีกสารพัดที่เขาต้องรำคาญใจกับกางเกงใน
แต่ข้าพเจ้าลืมเสียแล้วว่า เขาว่าอย่างไรบ้าง
ทำไมต้อง “กางเกงใน” ?
ถ้าลองมานึก ๆ ดูว่า ทำไมต้องตั้งชื่อเจ้า “สิ่งนี้” ว่า “กางเกงใน” ด้วย
ตามความคิดของข้าพเจ้า กางเกงใน ก็คือ กางเกงที่อยู่ข้างใน
แล้วทำไมเราเรียก “บอกเซอร์” ว่า บอกเซอร์
ทำไมไม่เรียกว่า กางเกงใน แล้วทำไมไม่เรียก
กางเกงธรรมดาว่า “กางเกงนอก” อันนี้ไม่อาจทราบได้
ลองไปเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ไม่พบคำว่า กางเกงใน คำที่พบก็คือ กางเกง เฉย ๆ
ครับ ท่านให้ความหมายว่าดังนี้ กางเกง น. เครื่องนุ่งมี 2 ขา
ให้ความหมายไว้แค่นี้ครับ ดังนั้นถ้าอะไรที่ไม่ใช่เครื่องนุ่ง
ก็ไม่ใช่กางเกง และอะไรที่เป็นเครื่องนุ่งแต่ไม่มี 2 ขา
ก็ไม่ใช่กางเกง อีกเช่นกัน
เมื่อสมัยโบราณนั้นคาดว่าคงยังไม่มีกางเกงใน
( หรือมีก็ไม่ทราบ แต่ทึกทักเอาว่า ไม่มีก็แล้วกัน )
และกางเกงก็ไม่ค่อยได้ใส่กัน นอกจากว่าเวลาต้องออกจากบ้านไปธุระสำคัญ
ไปราชการงานเมือง หรือไปรบทัพจับศึกเท่านั้น
แล้วเวลาอยู่กับบ้ายเฉย ๆ เขาแต่งตัวกันอย่างไร ก็
( สันนิษฐานอีกครั้งครับว่า ) คงนุ่งผ้าขาวม้า หรือไม่ก็นุ่งโสร่งธรรมดา ๆ นั่นกระมัง
กลับมาที่คำว่า “กางเกงใน” กันอีกครั้งหนึ่ง คำว่า
กางเกงในนั้นเป็นภาษาที่ค่อนข้างเป็นทางการ
( แม้ไม่มีในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต ฯ อีกทั้งข้าพเจ้าก็ไม่ได้ค้นพจนานุกรมเล่มอื่น )
ถ้าภาษาชาวบ้านร้านตลาดทั่ว ๆ ไปเขาก็เรียกว่า “กางเกงลิง”
แล้วทำไมต้องเรียกว่า กางเกงลิง มันเหมือนกางเกงที่ลิงใส่หรืออย่างไร ? อันนี้ก็ไม่ทราบ
( ขี้เกียจค้นข้อมูล ) ภาษาอีสานนั้นเขาเรียก กางเกงใน ว่า “ซ่งสลิด” หรือ “ส่งสลิ้ด”
ตามแต่สำเนียงของแต่ละท้องถิ่น ( ภาษาอีสานแต่ละพื้นที่จะสำเนียงไม่เหมือนกัน )
คำว่า ซ่ง หรือ ส่ง แปลว่า กางเกง ส่วนคำว่า สลิด นั้น แปลว่าอย่างไรก็ไม่ทราบ
( แต่ถ้าเป็นภาษาเหนือ สลิด แปลว่า ออกแนวแรด ๆ แก่แดดแก่ลม
หรือ ออกนอกลู่นอกทาง ทำนองนั้น ) และคำว่า ซ่งสลิด นี้
จะใช้เรียกกางเกงในผู้หญิงเท่านั้น กางเกงในผู้ชาย ไม่ค่อยจะเรียกว่า ซ่งสลิด
แต่จะเรียกว่า “ซ่งใน” และคำว่า ซ่งใน ก็ใช้เรียกกางเกงในผู้หญิงด้วยเหมือนกัน
รวมความก็คือว่า ซ่งใน ใช้เรียกทั้งกางเกงในผู้ชายและกางเกงในผู้หญิง
ซ่งสลิด ใช้เรียกเฉพาะกางเกงในผู้หญิง
( แต่บางทีก็อาจใช้เรียกกางเกงในผู้ชายด้วยก็ได้ แล้วแต่ คนจะเรียกครับ )
คำว่า “สลิด” นี้ เสียงมันเกิดไปพ้องกับคำว่า สฤษฏ์ เข้า (หรือ สฤษดิ์ ก็ได้ ถูกทั้งสองคำ)
ดังนั้นหากถือเอาเสียงเป็นเกณฑ์ “ซ่งสลิด” ก็อาจแปลได้ว่า กางเกงของคนชื่อสฤษฏ์
กางเกงของของคนชื่อสฤษฏ์ ก็ตีความไปได้อีกว่า คนชื่อสฤษฏ์
( ซึ่งเป็นผู้ชายแน่นอน คงไม่มีพ่อแม่คนไหน “สลิด” ตั้งชื่อลูกสาวตัวเองว่า “สฤษฏ์” ดอกกระมัง )
เป็นคนประดิษฐ์คิดค้น กางเกงชนิดนี้ขึ้นมา-ประเด็นที่หนึ่ง
( ตามธรรมเนียมฝรั่งเราก็ต้องให้เกียรติ คนค้นพบหรือคนประดิษฐ์ขึ้นคนแรกโดยการตั้งชื่อสิ่งนั้นด้วยชื่อของเขา )
หรือคนชื่อสฤษฏ์ เป็นคนนำกางเกงชนิดเข้ามาสู่ดินแดนที่ราบสูง ที่เรียกว่า ภาคอีสาน –ประเด็นที่สอง
หรือ กางเกงชนิดนี้ คนชื่อสฤษฏ์ชอบใส่เป็นประจำ จนชาวบ้านรู้สึกชินตา ก็เลย ให้สมญาไปเลยว่า ซ่งสลิด ( คือกางเกงของคนชื่อสฤษฏ์ ) –ประเด็นที่สาม
ประเด็นที่หนึ่งกับสามนั้นตัดไปได้ เพราะสำหรับประเด็นที่หนึ่งนั้น
คนชื่อสฤษฏ์ คงไม่ใช่คนประดิษฐ์คิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมาแน่นอน
ส่วนประเด็นที่สาม ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า คนชื่อสฤษฏ์คงไม่ถึงขนาดกับเป็นพวกชอบโชว์กางเกงใน ( เพราะไม่ใช่ซุปเปอร์แมน )
ส่วนประเด็นที่สองนั้น น่าคิดอยู่เหมือนกัน น่าคิดอย่างไร ท่านทั้งหลายก็ไปคิดเอาเองก็แล้วกันนะครับ
ภาษาเหนือหรือคำเมือง นั้น เขาเรียกกางเกงในว่า เตี่ยวใน หรือเตวใน
( อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสำเนียงแต่ละท้องถิ่นอีกเช่นกัน ) คำว่าเตี่ยวหรือเตว ก็แปลว่า กางเกง
สันนิษฐานว่า คำว่าเตี่ยวนี้น่าจะมาจากคำว่า ผ้าเตี่ยว
คำว่าผ้าเตี่ยว หรือนุ่งเตี่ยว หมายถึงการนุ่งผ้าขาวม้าแล้วเอาชายผ้าไปเหน็บไว้ด้านหลัง
( คล้าย ๆ นุ่งโจงกระเบน )
กลับไปที่เนื้อความต้น ๆ ที่บอกว่า
คนสมัยโบราณอยู่บ้านก็จะนุ่งผ้าขาวม้าหรือโสร่ง ก็น่าจะเป็นความจริงดังนี้
สังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยกลาง ภาษาอีสานหรือภาษาเหนือ
ล้วนแล้วแต่นำคำว่า “ใน” ไปต่อท้ายคำว่ากางเกงด้วยกันทั้งสิ้น
( แถมยังไม่มีในพจนานุกรมอีกต่างหาก) ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างคำขึ้นมาใหม่
คำที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็เพื่อรองรับกับวัฒนธรรมใหม่ ๆ หรือสิ่งใหม่ ๆ
ดังนั้นข้อความข้างต้น ที่ว่า เมื่อสมัยโบราณนั้นคาดว่าคงยังไม่มีกางเกงใน
ก็น่าจะเป็นจริง ความสำคัญของกางเกงใน ผู้คนสมัยก่อน ( รุ่นคุณปู่คุณย่า )
อาจจะไม่คุ้ยกับการใส่กางเกงในนัก และเนื่องจากเป็นสิ่งใหม่
ใส่แล้วทำให้รู้สึกรำคาญ เด็ก ๆ สมัยก่อนก็มักจะไม่ได้ใส่กางเกงในเช่นกัน
เนื่องจาก ผู้ปกครองเห็นว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็นในชีวิต
ก็ปล่อยให้วิ่งแก้ผ้าตาแดง ๆ กันไปตามประสา พอเริ่มโตขึ้น
เข้าโรงเรียน จึงค่อยได้ใส่กางเกงใน ไม่เช่นนั้นเวลานั่ง ๆ ไป
หรือเล่นอะไรไป อาจมีอะไรแวบ ๆ แวม ๆ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ
เป็นที่ให้อับอายแก่ผู้นั้นอย่างยิ่ง แถมคนอื่นจะหาว่า
โตจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักใส่กางเกงใน เรื่องเด็ก ๆ กับกางเกงในนี้
ทางอีสานก็มีเรื่องเล่าสนุก ๆ ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อเฒ่าอยู่คนหนึ่ง
ที่หน้าบ้านมีต้นฝรั่ง เจ้าต้นฝรั่งนี้เด็ก ๆ ชอบกันนัก
ก็พากันมาปีนป่ายขย่มเล่นอยู่ตลอดเวลา
พ่อเฒ่าก็รำคาญเพราะจะนอนกลางวันก็ไม่ได้นอนซักที
เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าว อยู่นั่นแหละ เลยเดินถือไม้เรียวมาที่ต้นฝรั่ง
กะว่าจะมาขู่ให้เด็กกลัว พอมองขึ้นไปก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งปีนอยู่
เพราะเพื่อน ๆ เขาวิ่งหนีไปหมดก่อนแล้ว
( กลัวพ่อเฒ่าตี สงสัยเด็กน้อยผู้นี้คงเพิ่งหัดปีนต้นไม้จึงหนีไม่ทันเพราะปีนไม่เก่ง )
สมัยก่อนเด็กผู้หญิงตามชนบทก็ใส่ผ้าถุงกัน
พอพ่อเฒ่าแหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ก็เลยร้องเรียกเด็กลงมาแล้วก็ให้ตามไปที่ใต้ถุน
ควักเงินให้ยี่สิบบาท แล้วบอกว่า ให้เอาไปซื้อกางเกงในมาใส่
เด็กก็ดีใจใหญ่ วิ่งกลับบ้านไปบอกแม่ ว่าพ่อใหญ่
( ที่อีสานนั้น ตา หรือ ผู้ชายที่อายุเยอะ ๆ เขาจะเรียกว่า พ่อใหญ่ )
ให้เงินมายี่สิบ เพราะว่าไปปีนต้นฝรั่งที่หน้าบ้าน
แม่เด็กได้ฟังดังนั้นก็นั่งนึกอะไรอยู่ในใจ
วันต่อมาพ่อเฒ่าได้ยินเสียงต้นฝรั่งถูกขย่มอีก
ก็เดินออกมาดูตามเคย นึกว่า เด็ก ๆ มาเล่น
แต่คราวนี้แหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นเป็นผู้ใหญ่
( ซึ่งก็คือแม่ของเด็กหญิงคนนั้นนั่นเอง )
พ่อเฒ่าก็เลยเรียกลงมาและบอกให้เข้าไปหา
พร้อมกับให้เงินห้าบาท ( แม่เด็กทำหน้าตาสงสัย
ว่าทำไมตัวเองได้เงินแค่ห้าบาท แทนที่จะได้ยี่สิบบาทหรือมากว่า )
แล้วก็บอกว่า “เอ้า ! เอาไปซื้อมีดโกน”
นิทานเรื่องนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้
เล่าให้ฟังกันสนุก ๆ ไม่ต้องคิดมาก
นอกจากช่วยปิดซ่อนอวัยวะแล้ว
กางเกงในยังช่วยป้องกันไส้เลื่อนได้อีกประการหนึ่ง
แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณีนะครับ เพราะไส้เลื่อนก็มาจากหลายสาเหตุ
เรื่องเกี่ยวกับกางเกงในยังมีอีกมาก เดี๋ยวเอาไว้เล่าตอนต่อไป
ทิวฟ้า ทัดตะวัน
๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๘
กางเกงใน ตอนที่ ๒
กางเกงในไม่ใช่ใส่ตลอดเวลา
หลายคนเป็นโรคชนิดหนึ่งเรียกว่า “โรคติดกางเกงใน”
โรคนี้มักเกิดกับเด็กสมัยใหม่ เนื่องจากถูกจับใส่กางเกงตั้งแต่แบเบาะ
จึงเป็นเหตุให้รู้สึกว่ากางเกงคือส่วนหนึ่งของร่างกาย
ถ้าวันไหนหรือช่วงเวลาไหนไม่ได้ใส่กางเกงในจะรู้สึกโหวง ๆ หวิว ๆ ยังไงชอบกล
ทำให้ต้องใส่กางเกงในอยู่ตลอดเวลา
ทั้งกลางวัน กลางคืน แม้กระทั่งตอนอาบน้ำก็ไม่เว้น
ความจริงแล้วกางเกงในต้องใส่ตลอดเวลาขนาดนั้นหรือไม่
คำตอบก็คือไม่ โดยเฉพาะเวลานอนนั้นร่างกายต้องพักผ่อน
และผ่อนคลายอย่างเต็มที่ จึงไม่ควรมีอะไรมารัดตัวไว้
แม้คนที่ใส่กางเกงในนอนตลอดเวลาจะไม่รู้สึกว่ารัดก็ตาม
แต่ร่างกายก็รู้ตลอดเวลาว่า รัด และจะส่งผ่านความรู้สึกนี้
ไปสู่จิตเบื้องลึก ทำให้เกิดการรบกวนการนอน รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการฝันอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกายอีกหลายระบบ
ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้
กางเกงในสมัยนี้
กางเกงในสมัยนี้มีให้เลือกมากมายหลายหลาก
ตั้งแต่กางเกงในธรรมดา กางเกงในไร้ตะเข็บ กางเกงในลูกไม้
กางเกงในทองคำ กางเกงในเพชร กางเกงในจีสตริง
แม้กระทั่งกางเกงในที่มีรหัสเปิดปิด และอื่น ๆ อีกมากมาย
( ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีกางเกงในบินได้ )
อันที่จริงกางเกงในก็คือสิ่งที่ใส่อยู่ข้างใน
ไม่ว่าจะเลิศหรูอย่างไรก็ยังอยู่ข้างในอยู่ดี
แล้วทำไมต้องทำให้อลังการนักก็ไม่ทราบ
ยิ่งสมัยนี้การเดินแฟชั่นโชว์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประชาสัมพันธ์เสื้อผ้า
เครื่องแต่งกาย กางเกงในซึ่งเป็นเสื้อผ้าชนิดหนึ่ง ก็ไม่วายที่จะต้องถูกใส่เดินโชว์ด้วยเหมือนกัน
( อะไรกันขนาดนั้นก็ไม่ทราบ ถามว่า คุณจะให้ใส่กางเกงในไว้ข้างนอกหรือครับ )
ดีไซเนอร์บางคนถึงกับพูดว่า กางเกงในบอกรสนิยม บอกความมีระดับ บอกนั่นบอกนี่
แล้วใครมันจะอุตริไปแหวกดูกางเกงในชาวบ้านเพียงเพื่ออยากรู้ว่า
เขาคนนั้นมีรสนิยมเป็นอย่างไร แบบไหน ดีหรือไม่
หรือใครจะไปถามชาวบ้านด้วยประโยคที่ว่า
เอ่อ คุณครับ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณใส่กางเกงในยี่ห้ออะไร สีอะไร ผลิตจากที่ไหน มีลูกไม้หรือไม่ ครับ
ก็คงไม่มีใครถามเช่นนี้ หรือถ้ามีก็คงเป็นประเภทไม่ปรกติ โรคจิต อะไรทำนองนั้น
บางคนอาจบอกว่า ถึงไม่ได้ตั้งใจใส่กางเกงในเพื่อโชว์ แต่อาจจะมีบางโอกาสที่กางเกงในแลบ
ออกมาข้างนอก ( ซึ่งมีให้เห็นกันบ่อย ๆ -ไม่ได้จงใจดูนะครับบังเอิญมองไปมันเข้าตาพอดี
โดยเฉพาะพวกดาราทั้งหลายแหล่) แล้วก็มีคนบังเอิญไปเห็นเข้า
จะได้รู้ว่าเรามีรสนิยมอย่างไรยังไงล่ะ ( เป็นไปกันซะขนาดนั้น )
กางเกงในอีกประเภทหนึ่งที่กำลังอินเทรนด์อยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ “จีสตริง”
ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ถ้าเกี่ยวกับกางเกงในก็ต้องยกให้เขาละครับ
ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า ความรู้สึกเวลาใส่จีสตริงนี่มันเป็นอย่างไร
แต่ก็นึก ๆ เอาว่า คงรำคาญน่าดู แต่ไม่ว่าจะรำคาญอย่างไรคนจำพวก “อินเทรนด์” ก็ใส่กันอยู่ดี
เพราะอาศัยหลักการที่ว่า เดี๋ยวก็ชินไปเอง
เหตุผลที่ใส่ก็มีมากมายหลายประการทีเดียว เช่นว่า
การมีขอบกางเกงในแลบออกมาเวลานั่ง ถือว่าเป็นทัศนอุจาด
บอกรสนิยมที่ไม่ดี และอื่น ๆ อีกสารพัดที่เขาจะอ้าง
อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ กางเกงในก็แลบแล้ว
อย่าให้มันมีขอบอะไรหรือมีเนื้อผ้าของกางเกงในมาปิดบังเลยจะดีกว่า
จะได้เห็นก้นขาว ๆ เนียน ๆ ได้ชัด ๆ ว่าอย่างนั้น
ถ้าก้นขาวเนียนอย่างว่าก็ดีไป แต่ถ้าประเภทก้นกระดำกระด่างเป็นดวง ๆ
ขอแนะนำว่า อย่าใส่เลยครับ ไม่อย่างนั้นคนข้าง ๆ ปากดีหน่อยเขาจะทักเอาว่า
เอ่อ วันนี้คุณใส่กางเกงในลายดอกสวยจริง ๆ เลยนะครับ
และอาจจะพานคิดเลยเถิดไปว่าคุณมีรสนิยมลายดอกอีกด้วยก็เป็นได้
บางคนบอกว่า จีสตริง ทำให้ดูเซ็กซี่เย้ายวน
เหมาะกับกางเกงเอวต่ำในยุคปัจจุบันเป็นที่สุด
นอกจากนี้หากใส่อยู่ที่บ้าน สามีที่เตะปี๊บไม่ดังแล้ว
หันมาเห็นเข้าก็อาจจะเกิดอาการอยากเตะปี๊บขึ้นมาตอนนั้นก็ได้
เขาว่ามาอย่างนั้นครับ
กางเกงในล็อกได้ปลอดภัยจริงหรือ
คิดว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินหรือเคยรู้เกี่ยวกับเรื่องกางเกงในล็อกได้
ที่มีรสหัสเปิดปิดมาบ้างไม่มากก็น้อย หรือท่านใดที่เพิ่งเคยได้ยินก็แล้วแต่
ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดอย่างสุด ๆ เช่นนี้
กางเกงในก็ต้องก้าวกระโดดด้วยเหมือนกัน
ที่จริงกางเกงในล็อกได้นี้เป็นข่าวมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยดัง
( หรือดังก็ไม่ทราบ ทึกทักเอาว่าไม่ดังก็แล้วกัน )
กางเกงในล็อกได้นี้เขาจะทำด้วยวัสดุที่แข็งแรง
พอที่จะป้องกันของมีคมได้ ( กันกระสุนได้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ )
มีรหัสเอาไว้เพื่อป้องกันความปลอดภัย ถ้าใส่รหัสผิดก็ถอดไม่ได้
ฟังแค่นี้ก็คงรู้สึกดีใจขึ้นมาว่า ปัญหาการถูกข่มขืนคงจะลดลงแน่นอน
แต่ช้าก่อน ปัญหาเรื่องการถูกข่มขืนอาจจะลดลงก็จริง
( ถ้าคุณผู้หญิงทุกคนมีเงินซื้อหามาใส่ )
แต่ปัญหาการฆาตกรรมอาจจะเพิ่มขึ้นมาก็เป็นได้
ลองคิดดูว่า ถ้าคุณถูกฉุดไปข่มขืน แล้วโจรข่มขืนคุณไม่ได้
จะเกิดอะไรขึ้น
โจรบอกให้คุณปลดล็อกแต่คุณไม่ยอม-ประเด็นที่หนึ่ง
โจรบอกให้คุณปลดล็อกและคุณก็ยอม-ประเด็นที่สอง
ถ้าเป็นอย่างประเด็นที่สอง ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะใส่กางเกงในชนิดนี้
แต่ถ้าเป็นอย่างประเด็นที่หนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นตามมาบ้าง
เราสามารถแตกประเด็นได้อีก
คือ โจรใจดีปล่อยคุณกลับบ้านไป-ประเด็นที่หนึ่งจุดหนึ่ง
โจรโมโหตบตีทารุณกรรมคุณ-ประเด็นที่หนึ่งจุดสอง
โจรโหดร้ายมากฆ่าคุณหมกป่าไว้ที่นั่น-ประเด็นที่หนึ่งจุดสาม
แน่นอนว่า ประเด็นที่หนึ่งจุดหนึ่ง โอกาสเกิดขึ้นแทบจะเป็นศูนย์
หรือถ้าโจรปล่อยคุณกลับบ้านไปจริง ( โดยที่มันไม่ได้ข่มขืน )
ก็คงต้องควักลูกตาคุณออกก่อน เพื่อจะไม่ให้คุณจำหน้ามันได้
ประเด็นที่หนึ่งจุดสองและหนึ่งจุดสามนั้นเป็นไปได้มากที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเกิดประเด็นไหนขึ้น ก็มีแต่เสียกับเสีย ถ้าคุณผู้หญิงท่านไหนคิดว่า
จะเก็บพรหมจรรย์เอาไว้โดยไม่เสียดายชีวิต อันนี้ก็สุดแท้แต่
หรือ คุณผู้หญิงท่านไหนจะเสียดายชีวิต พรหมจรรย์ไม่ต้องเก็บเอาไว้มากก็ได้
อันนี้ก็สุดแล้วแต่อีกเช่นกัน แต่ถ้าคุณผู้หญิงท่านไหนเก็บทั้งชีวิตและพรหมจรรย์เอาไว้ได้
อันนี้ยอดเยี่ยมครับ
สรุปแล้วกางเกงในก็คือกางเกงใน
จะใส่หรือไม่ใส่ หรือจะเป็นตัวบอกอะไรเกี่ยวกับรสนิยมหรือบ่งบอกเกี่ยวกับอะไร ๆ
มากแค่ไหน มันก็เป็นเครื่องนุ่งห่มชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ถ้าไม่คิดอะไรกับมันมากมายชีวิตอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ก็เป็นได้
( ว่ามั้ยครับ ^_^ )
อ้อ ! เขามีทำนายนิสัยจากสีกางเกงในที่คุณใส่ด้วย อยากรู้ก็หาดูเองก็แล้วกันนะครับ
ทิวฟ้า ทัดตะวัน
๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๘
สุดท้าย เอาภาพ Britney ที่ไม่ใส่กางเกงในมาให้ดู
เพื่อให้เห็นว่า การไม่ใส่กางเกงในมันเป็นอย่างนี้แหละ
และเห็นข่าวเขาบอกว่า ที่วัยรุ่นไม่ใส่กางเกงในเพราะเลียนแบบ Britney
ก็น่าตลก แค่การไม่ใส่กางเกงในยังต้องเลียนแบบดารา
ไม่มีหัวคิดมากมายขนาดนั้นหรืออย่างไรแล้วหรือคนเรา
ภาพไม่มีการ sensor
จะได้เห็นว่า คนเรามันก็มีอวัยวะ ( ทุเรศ ๆ ) เหมือน ๆ กัน
ไม่ได้แปลกแตกต่างอะไรหรอก
เอวัง

ทิวฟ้า ทัดตะวัน
27/09/2550
7 ความคิดเห็น:
จะไปเอา
อะไรกับแม่สาวคนนี้
ชอบนักเชียวกับการมีพฤฒิกรรมพิเรนท์ๆ
อุบาทว์แผงๆ ประเภทชอบซ่า เด่นดังในทางแย่
ชื่อเสียเหม็นฉาวโฉ่ไปทั่ว แม่สาวคนข้างๆก็ใช่ย่อย
ไปกว่ากันเท่าไหร่หรอก พอๆกันแหละ (ชื่อเหมือน
เมืองหลวงของประเทศหนึ่งในทวีป ถ้าจำไม่ผิด)
เรื่องไม่ใส่กางเกงใน นี้ ขอพูดถึง "วัฒนธรรม"
เนื่องเพราะเกี่ยวข้องกัน วัฒนธรรมเป็นสิ่งดีงาม
มีการสืบสานกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน บ่งบอกถึง
-ความเป็นมนุษย์ที่ศิวิไรซ์แล้ว มีความเจริญทาง
ด้านจิตใจ/ความคิดความอ่าน- เท่านี้คงพอจะเข้าใจ
กัน ไม่จำเป็นจะต้องสาธยายมากไปกว่านี้
Knight
พฤฒิเยาวชนยุคนี้.......เข้าใจ ยากแฮ
พิลึกพิลั่นกระไร........เช่นนี้
ศัพท์แสงนุ่งห่มใด.......เกินรับ ได้เฮย
คิดอ่านสร้างสรรค์ชี้......บ่งด้อยศิวิไรซ์
ผู้ใหญ่เองนั่นไซร้........พอกัน
แบบอย่างไม่ดีดัน........ก่อไว้
เฟะเหลวแหลกบ่วัน.......เลี่ยงหลีก พ้นแล
มีแต่ท่วมทวีให้..........ยากแก้เยียวยา
Knight
ยุคโบราณ ถึงจะไม่มี "กางเกงในสำเร็จ"
แต่เขาก็ใช้ผ้าห่อไว้ ลองนึกถึง "หนังสงคราม
ยุคโบราณ" จะเห็นเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่าง
"Troy"... ยุคนั้นก่อนประวัติศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
ฟอนเฟะขนาดนี้........สังคม
ฤบ่พอขื่นขม..........กระนั้น
สะใจสู่ล่มจม..........วัฒน- ธรรมฤา
จึ่งจักสำนึกครั้น........บ่แม้ใดเหลือ
Knight
เป็นความคิดจัญไรของผมเองครับท่าน 555+
ว่าแล้วก็ยังไม่ได้ส่งไปรษณีย์เลยครับ
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ....ท่าน ทิวฟ้า
น่าอ่านดีเหมือนกัน
Knight
555+
เมื่อไหร่จะลงงานชิ้นใหม่ครับ
แสดงความคิดเห็น