เพิ่งกลับจากการขับรถ
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณตีหนึ่ง
เดี๋ยวนี้นอนดึก
บางวันก็แทบไม่ได้นอน
ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมาก
เพียงแต่วางแผนเรื่องการจัดการคลินิกที่กำลังจะเปิดใหม่
และวางแผนเรื่องความร่อนเร่ของชีวิต
ว่าจะไปตั้งหลักอยู่ที่ใดก่อนดี
ความจริงวันนี้ว่าจะขับรถเอื่อย ๆ ริมถนนสุขุมวิท
ขาไปก็เอื่อยดี
แต่ขากลับมันมีคนเสือกอยากแข่ง
ไอ้พวกอยากแข่งรถกะชาวบ้านนี่มันอะไรกันนักหนา
ไม่พิจารณาสภาพรถตัวเองแล้วยังจะอยากแข่งอีก
ตอนขากลับก็ขับเร็วพอสมควร
อยู่ขวาสุด
ไอ้อยากแข่งก็แซงซ้าย
ความจริงพวกนี้แซงไปก็ใช่จะไปได้ไกล
ไปได้แค่อยู่ข้างหน้าเราเท่านั้น
ไม่รู้มันจะอยากไปอยู่ข้างหน้าทำไม
ขวางถนนอยู่นั่นแหละ
ทีนี้พอไอ้อยากแข่งมันบึ่งรถจะแซง
ข้าพเจ้าก็ไม่ให้มันแซง
ปกติไม่ชอบให้ใครแซงอยู่แล้ว (นี่ก็โรคจิตเหมือนกัน)
ความจริงถ้าจะแซงก็แซงไปให้พ้น ๆ
อย่ามาแซงแล้วขวางหน้า
รำคาญ
พอไม่ให้แซงมันก็พยามจะแซง
ตั้งแต่ก่อนถึงแยกเลี้ยวเข้าบางแสน
ความจริงถนนช่วงนี้อันตราย
เพราะมีมอเตอร์ไซค์เยอะ
และกลางคืนไฟแดงมันจะเป็นไฟกะพริบ
แต่ไอ้อยากแซงมันก็อยากแซง
ข้าพเจ้าก็เหยียบคันเร่งขึ้น
ถนนเส้นนี้ข้าพเจ้าคุ้นเคยมาก
เพราะวิ่งเกือบทุกวัน
รู้หมดว่าแยกตรงไหน เลี้ยวตรงไหน
ตรงไหนรถมากรถน้อย
บึ่งผ่านหนองมนมาเรื่อย ๆ
นึกว่าไอ้อยากแซงจะหยุด
มันไม่หยุดครับ
ไม่แน่ใจว่ารถมันรุ่นอะไร ยี่ห้ออะไร
แต่เป็นรถประมาณพวก vios หรือ altis ไม่เกินนี้แน่นอน
ข้าพเจ้าก็บึ่งหนีมันมาเรื่อย ๆ จนติดไฟแดง
ความจริงไฟแดงนี้ข้าพเจ้าจะฝ่าไปก็ได้
เพราะตรงนี้ไม่ค่อยมีรถอยู่แล้ว
แต่อยากจอดรอมัน
เอากันให้เห็นจะแจ้งว่า รถมันน่ะ กระป๋องแค่ไหน
ริอ่านมาแข่งข้าพเจ้า
การออกตัวยูกิไม่เคยแพ้ผู้ใดในสนามแข่ง
เรื่องออกตัวแรง
อัตราเร่งหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงในหกวินาที
ไม่เคยมีใครได้กินคันนี้
ก็บึ่งมาเรื่อย ๆ
ไอ้อยากแซงก็ยังตามติด แต่บางช่วงก็ทิ้งห่างแบบไม่เห็นไฟ
จนกระทั่งมาติดไฟแดงที่บางพระ
ไอ้อยากแซงไปอยู่ขวาสุด หน้าสุดด้วย
ความจริงขวาสุดเขาเอาไว้ให้เลี้ยวขวา
ข้าพเจ้าอยู่เลนกลาง
มีรถติดอยู่ข้างหน้าสองคัน
ปกติแยกนี้ถ้ามีรถอยู่ประมาณคันสองคันข้างหน้า
พอใกล้จะหมดไฟแดงข้าพเจ้าจะขึ้นซ้ายแล้วปาดเข้าขวา
ทำได้เนื่องจากออกตัวเร็ว
ไอ้อยากแซงคงคิดว่าคราวนี้แหละ
กรูจะนำหน้ามรึง
555
มันคิดผิด
พอไฟแดงขึ้นเลข 4 3 2 1
ข้าพเจ้าก็ตบไฟเลี้ยงขึ้นซ้าย
ปาดเข้าขวา
ไอ้อยากแซงคงงงสุด ๆ และอยากแซงมาก
แต่โค้งบางพระเป็นโค้งใหญ่
ด้วยการเกาะถนนดีเยี่ยมทั้งยางก็สุดยอด
ยูกิไม่เคยหลุดโค้ง ไม่เคยสูญเสียการทรงตัว
เข้าทางตรงได้ข้าพเจ้าก็เฆี่ยนเต็มที่
เพราะรู้อยู่แล้วว่าจากนี้ไปจนถึงศรีราชาเส้นทางเป็นอย่างไร
ไอ้อยากแซงตามมาไม่เห็นไฟ
ข้าพเจ้าขับเร็วมาก
หูได้ยินแต่เสียงลม (ลืมบอกไปว่าเปิดประทุน)
เสียงเพลงริบหรี่มาก
ทั้งที่เพลงในขณะปกติเสียงดังมาก
ในที่สุดข้าพเจ้าก็เลี้ยวเข้าบ้าน
ทิ้งไอ้อยากแซงให้โกรธแค้นต่อไป
555
เล่าเรื่องนี้แล้วนึกถึงความตาย
เรื่องความตายไม่กลัว
แต่อุบัติเหตุที่ทำให้ไม่ถึงกับตายนี่น่ากลัวกว่า
เพราะเรายังต้องใช้ชีวิต
ถ้าเราพิการไปใครจะเลี้ยงดูเรา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรคิดหนัก
ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอย่างนี้บ่อยนัก
ที่ทำบางครั้งตามอารมณ์คึกคะนองของวัยรุ่น
แต่ก่อนทำเราต้องมีสติ
ศิลปะแห่งการแข่งรถแบบนี้
๑ ต้องรู้เรา
๒ ต้องรู้รถ
๓ ต้องรู้ถนน
๔ ต้องรู้เขา
เราต้องรู้เราว่าเราทำได้หรือไม่ได้ การขับรถของเราอยู่ระดับไหน
สมรรถภาพเป็นอย่างไร
ต้องรู้รถเราว่ารถเราอยู่ในสภาพอย่างไร พร้อมหรือไม่ ปลอดภัยเพียงพอหรือไม่
รู้รถของเขาด้วย รถเขามีความสามารถแค่ไหน
ต้องรู้จักถนนเป็นอย่างดี อะไรเป็นอย่างไร กลางวันหรือกลางคืน
รถมากหรือรถน้อย ชอบมีหมาวิ่งตัดหน้ารถตรงไหน
ตรงไหนรถฝั่งตรงข้ามชอบยูเทิร์น
ต้องรู้เขา เขาขับอย่างไร เขาดูทีท่ามีสติดีหรือไม่
ถ้าตามสถานการณ์ข้างต้น
ถ้าไม่ใช่รถข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่แข่ง ถ้าข้าพเจ้าไม่พร้อม ไม่แข่ง
ถ้าถนนไม่ใช่ถนนเส้นนี้ที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย ข้าพเจ้าไม่แข่ง
ถ้าเป็นรถที่จะแข่งด้วยเป็นยี่ห้ออื่นที่ไม่ใช่รถกระป๋อง
กล่าวคือถ้าเป็นพวกซูเปอร์คาร์ ข้าพเจ้าไม่แข่ง
หรือพูดง่าย ๆ ถ้ารถข้าพเจ้าไม่เหนือกว่าสองถึงสามสเตป
ข้าพเจ้าไม่แข่ง (แต่บางครั้งก็แข่งถ้ารู้ว่าชนะแน่โดยพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นด้วย)
แข่งไปก็ไม่รู้จะแพ้หรือชนะ
ข้าพเจ้าจะแข่งก็ต่อเมื่อ รู้ว่า "ต้องชนะ" เท่านั้น
จุดนี้มันหมายถึงเรื่องอื่นในชีวิตด้วย
เรื่องไหนที่คิดว่าจะสำเร็จ ข้าพเจ้าจึงทำ
เรื่องไหนที่เห็นแล้วว่า ไม่รอดแน่ ไม่ทำ
หรือเรื่องไหนที่เห็นว่า อาจจะรอดหรืออาจจะไม่รอด ก็ไม่ทำ
ถ้าทำต้องดีเท่านั้น และไม่ใช่ดีธรรมดา ต้องดีที่สุด
ข้าพเจ้าจึงเป็นคล้ายพวกเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ที่หลงตัวเอง
แต่ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้หลงตัวเอง
ข้าพเจ้ารู้จักตัวเองดีพอ
บางครั้งพูดข่มคนอื่นเพราะหมั่นไส้อยากด่ามันก็เท่านั้นเอง
5555
หมองูตายเพราะงู
คนขับรถเร็วก็ตายเพราะขับรถเร็ว
ไม่แน่
วันใดวันหนึ่ง
อาจเห็นข้าพเจ้ากองเป็นศพอยู่ข้างถนนก็ได้
และเมื่อถึงเวลานั้น
อาจจะไม่มีใครจำข้าพเจ้าได้
เพราะสภาพคงยับเยินเต็มที
ธัชชัย ธัญญาวัลย
15 ธันวาคม 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น