ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

ทำไมลูกแม่ใหญ่อรต้องลักปีโป้ : ความยากจนของคนอิสานหรือวัฒนธรรมพื้นถิ่น


ความจริงจะเรียกบทวิจารณ์ก็ไม่ถูกต้องนัก

เรียกว่า

บทกล่าวถึงจะดีกว่า

เพราะโดยหลักการแล้ว

ข้าพเจ้าก้ไม่ถนัดถนี่เกี่ยวกับ

"การวิจารณ์"  อย่างเป็นทางการ

หรือเป็นวิชาการ

หรือลึกซึ้งตรึงใจอะไรสักเท่าไหร่

ทำได้ก็แต่เพียง

วิเคราะห์แบบบ้าน ๆ  วิจารณ์แบบตื้น ๆ  เท่านั้น

บทนี้ให้ชื่อว่า

ทำไมลูกแม่ใหญ่อรต้องลักปีโป้ :

ความยากจนของคนอีสานหรือวัฒนธรรมพื้นถิ่น

ก่อนอื่นที่จะว่ากันไปถึงเนื้อหา

ขอให้ทุกท่านไปฟังเพลงนี้ก่อน


Imagine on the pipo "ลูกแม่ใหญ่อรลักปีโป้"



ข้าพเจ้าฟังเพลงนี้เมื่อนานมาแล้ว

เรียกว่าตั้งแต่เพลงนี้ถูกแสดงใหม่ ๆ

จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของน้องคนหนึ่ง

ซึ่งจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า

แสดงที่งานชมรมอิสานของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

เป็นการแต่งเล่นกันสนุก ๆ  เอาฮา

โดยอาศัยทำนองของเพลง  Imagine  ของ  John Lennon

เนื้อหาเพลงที่แต่งขึ้นนั้น

ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ   กับเนื้อหาเพลงต้นฉบับแม้แต่น้อย

เพลงนี้เป็นภาษาอิสาน

ที่ออกสำเนียงไทย

เนื้อหากล่าวถึง  เด็กคนหนึ่งขโมยปีโป้

ไปแอบกินอยู่หลังโอ่งในวันฝนพรำ

แล้วเรื่องก็แดงไปถึงแม่ซึ่งก็คือ  นางอร

หรือแม่ใหญ่อร  ผู้เป็นแม่ก็สั่งสอนลูกว่าอย่าไปลักของเขา

ถูกจับแล้วมันไม่คุ้ม  และแอบมีมุกตลกแทรกว่า

อุตส่าห์จะลักทั้งทีทำไม่ลักอย่างอื่น

(ซึ่งโดยความในใจที่แท้แล้วก็คือ

ทำไมมึงไม่ลักเอา  เหล้า 555 )



เพลงนี้ให้ภาพพจน์และบรรยากาศของชนบทภาคอิสาน

แม้ว่าไม่ได้บรรยายอะไรนักก็ตาม

มันพาให้เราจินตนาการไปถึงเด็กชายตัวเล็ก ๆ  ผอม ๆ

ยืนอยู่หน้าร้านชำ  แล้วไม่มีใคร  ก็ฉวยเอาปีโป้ไปซะเลย

เสร็จก็เปิดแน่บฝ่าสายฝนที่โปรยปราย

ไปแอบกินอยู่หลังโอ่งมังกร

คำถามก็คือ  ทำไมเด็กชายคนนี้ต้องลักปีโป้

ขนมมีอย่างอื่นตั้งมาก  ทำไมไม่ลัก  ทำไมลักปีโป้

ลักแล้วทำไมต้องเอาไปกินหลังโอ่ง

ทำไมเด็กไม่ซื้อ  ทำไมต้องลัก

เพราะเด็กไม่มีเงิน

หรือเด็กมีเงินแต่เป็นเพราะนิสัยของเด็กกันแน่

หรือมันเป็นแค่ความสนุกสนานของเด็ก ๆ

ที่ได้ทำวีรกรรมอันหาญกล้าด้วยการลักขโมย

หรือเพราะอย่างอื่น

อันนี้เป็นคำถามที่น่าคิด



ที่นี้ความก็รู้ไปถึงนางอร  ผู้เป็นแม่

ความจริงคำว่า  แม่ใหญ่  นั้นแปลว่ายาย

เทียบภาษาอังกฤษก็คือ  Grandmother

แปลกันตรงตัวเลย  แม่ใหญ่

อันนี้กรณีหลานเรียกยายตัวเอง

ถ้าเป็นย่า  ก็จะเรียก  แม่ย่า



แต่โดยมาก

คนทั่วไปก็เอาไปเรียกเป็นคำนำหน้าชื่อ

สำหรับคนมีอายุแล้วได้

คือประมาณวัยกลางคน

แต่ถ้าแก่มาก  ก็จะเรียกว่า  แม่ตู้

เป็นคำกลาง ๆ

กระเดียดออกไปในทางให้เกียรติ

แต่โดยบริบทและน้ำเสียงในเพลง

เป็นไปในทำนองตลกมากกว่า

คือถ้าเป็นวัยรุ่นสมัยใหม่

จะเอาคำนี้มาเรียกล้อเล่นกัน

ทำนอง  แก่  หรือทึนทึก  ไม่ทันสมัย

อย่างนี้เป็นต้น



แม่ใหญ่อรผู้เป็นแม่ได้ยินเรื่องราวลูกชาย

ก็ด่าก่อนเลย

ห่ากินหัวมึงเอ๊ย

อันนี้เป็นคำด่าที่ถือว่าปกติ

หรือบางพื้นที่บางแห่งอาจจะเป็นเพียงแค่คำอุทานก็เป็นได้

ในพื้นที่ภาคอิสานนั้น

การพูดทำนองนี้

ก็ไม่ได้ถือว่าหยาบคายมากมายอะไร

เรียกว่า  พื้น ๆ  บ้าน ๆ

หรือแม้กระทั่งการแซวกัน(เชิงเหน็บ)ในทำนองว่า

อีห่า  อีหีเคียว  อะไรทำนองนี้

ก็เป็นเรื่องที่ไม่ใคร่มีใครเอาไปคิดเล็กคิดน้อย

(หรือบางคนอาจจะคิด  แต่ก็ปล่อยผ่านไปตามสายลม)

การเอ่ยถึงอวัยวะเพศตรง ๆ  นั้น

เป็นวิถีชาวบ้าน  ที่ไม่ได้แสดงความหยาบคายอะไรนัก

จะเห็นได้จากการแสดงพื้นบ้านจำพวก  หมอลำ

ที่ตัวศิลปินนั้นมักพูดตลกในทำนองนี้  หรือพูดตรง ๆ  โต้ง ๆ  โดยไม่กระดากปาก

แต่ในปัจจุบันเมื่อวัฒนธรรมเมืองเข้าไปมากขึ้น

เด็กรุ่นใหม่เรียนหนังสือตามแบบฉบับคนเมืองมากขึ้น

เหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นของหยาบ

แต่แท้แล้วดั้งเดิม

มันเป็นธรรมดา

เหมือนการเปลือยหน้าอกของสตรีสมัยก่อนนั่นแหละ

พอวัฒนธรรมเสื้อผ้าแบบตะวันตกเข้ามา

การเปลือยหน้าอกของผู้หญิงไทยก็ถือว่าเป็นของต้องห้าม


ความจริงเรื่องการพูดชื่ออวัยวะเพศตรง ๆ  นี้

ในทางศาสนาสายวัดป่าที่สอนกันโดยส่วนตัว

ก็พูดโดยไม่ได้ถือสาว่าเป็นของหยาบคาย

(ซึ่งของดกล่าวมากไปกว่านี้  ณ  ที่นี้

เพราะเดี๋ยวจะออกทะเลจนกู่ไม่กลับ

555)


เข้ามาที่เรื่องแม่ใหญ่อร

พอด่าเสร็จก็บอกว่า  ไปลักทำไมประสาปีโป้

อุตส่าห์ลักทั้งทีทำไมไม่ลักเอาเหล้า

อันนี้ฮา

แต่โดยเนื้อความและวิถีชีวิตที่ซ่อนอยู่แล้ว

เราเห็นอะไรจากตรงนี้

แม่นั้นไม่ได้สอนลูกเลยว่ามันผิดศีลธรรม

ห่วงเพียงว่ามันจะถูกจับเท่านั้น

แต่สิ่งที่ห่วงยิ่งกว่าการถูกจับคือ

มันเสียชื่อ

ซึ่งไม่ได้หมายถึงเสียชื่อเพราะลักขโมย

แต่เสียชื่อเพราะของที่ขโมยนั้น

มันกระจอกเกินไป

แถมท้ายคล้ายเป็นคติว่า

ลักได้  แต่ต้องลักสิ่งที่มันดูคุ้มค่า

อย่าไปลักประสาแค่ปีโป้

แน่นอน

นี่เป็นบทฮา

แต่ถ้าเราจะถือเอาตามทฤษฎีของซิกมันฟรอยด์

ว่าการที่คนคนหนึ่งพูดอะไรออกมา

หรือไม่แม้กระทั่งการละเมอ

หรือพลั้งปาก

ย่อมแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจ

ดังนั้นคำพูดของแม่ใหญ่อร

ก็ย่อมแสดงสิ่งที่อยู่เบื้องลึกของจิตใจเช่นกัน

และที่น่าคิดก็คือ

แม่ใหญ่อรรับชุดความคิดแบบนี้มาจากใคร

หรือมาจากอะไร



อันนี้ก็วิเคราะห์กันเล่น ๆ

จบเอาไว้แต่เพียงเท่านี้



ธัชชัย  ธัญญาวัลย
๕  กรกฎาคม  ๒๕๕๕

ไม่มีความคิดเห็น: