ซื้อ E-BOOK

Thumbnail Seller Link
การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง
ธัชชัย ธัญญาวัลย
www.mebmarket.com
คุณจะสำรวจลึกลงไปในสิ่งต่าง ๆ ผ่านตัวหนังสือ ผ่านถ้อยคำ ที่กรองประกอบขึ้นเป็นหนังสือเล่มนี้ “การสำเร็จความโง่ด้วยตนเอง” กวีนิพนธ์เชิ...
Get it now

แด่ผู้หญิงที่อดทนที่สุดในโลก


พูดเรื่องแม่ต่อ

เพราะข้าพเจ้าอยากพูด

ไม่ใช่แค่เพราะมันใกล้วันแม่

วันแม่ของข้าพเจ้าไม่ใช่วันที่  ๑๒  สิงหาคม

เพราะแม่ข้าพเจ้าไม่ได้เกิดวันนี้

และข้าพเจ้าก็ไม่กระแดะพูดว่า

ทุก ๆ  วันคือวันแม่ของข้าพเจ้า

เพราะข้าพเจ้าไม่ได้มีความรู้สึกดังกล่าว

กระนั้นก็ตาม

ใช่ว่าข้าพเจ้าจะไม่รักแม่ก็หาไม่


ตอนเป็นเด็กข้าพเจ้าชอบทะเลาะกับคนในบ้าน

เพราะความเป็นอาร์ททิสต์ของข้าพเจ้า

จนกระทั่งข้าพเจ้าอายุได้สิบสี่ปี

ข้าพเจ้าก็เลิกทะเลาะ

ในวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่ข้าพเจ้าอยู่

ไม่มีการไหว้พ่อแม่ก่อนไปโรงเรียน

อยู่มาวันหนึ่ง

ข้าพเจ้าก็อยากจะทำขึ้นมา

การไหว้พ่อแม่ก่อนไปโรงเรียนและกลับจากโรงเรียน

เป็นอะไรที่น่ากระดาก

หากเราไม่ได้ทำมาตั้งแต่เล็ก ๆ

แน่นอนว่า

มันเกิดขึ้นเฉพาะช่วงแรก ๆ  เท่านั้น

พอผ่านไปนานเข้า

ก็เป็นความคุ้นเคย

ทำไมข้าพเจ้าต้องไหว้พ่อแม่ก่อนไปโรงเรียน

เพราะข้าพเจ้าไหว้พระ

ข้าพเจ้าตรึกขึ้นมาในใจว่า

เออ  เราไหว้พระ

แต่พ่อแม่เราไม่เคยไหว้เลย

ก็ไหว้เสียดีกว่า

ก่อนที่จะได้ไหว้แต่กระดูกในกำแพงวัด

มันเป็นการไหว้ที่ออกมาจากจิตใจ

ไม่ใช่ไหว้จากประเพณีที่สักแต่ว่าไหว้


ตั้งแต่จำความได้

แม่ไม่เคยตีข้าพเจ้าเลย

ไม่เคยเลยจริง ๆ

อาจจะเคยตอนข้าพเจ้าเด็กกว่านี้หรือเปล่า

อันนี้ข้าพเจ้าไม่รู้

รู้แต่เมื่อจำความได้เท่านั้น

คนที่ตีข้าพเจ้าคือ  ยาย  และพ่อ

แต่ข้าพเจ้าก็หาใส่ใจหรืออาฆาตมาดร้ายไม่

และหลาย ๆ  ครั้ง

เวลาจะถูกตี

ข้าพเจ้าก็วิ่งหนีเสียเท่านั้น

ข้าพเจ้าเป็นคนวิ่งเร็ว

ยายวิ่งตามข้าพเจ้าไม่ทันแน่ ๆ

แต่ก่อนบ้านข้าพเจ้ามีชานหน้าบ้าน

เป็นบ้านโบราณ

มีครั้งหนึ่งจะถูกตี

ข้าพเจ้ากระโดดแผลวลงชานบ้านเรียบร้อย

หลังจากนั้น

ก็ไม่ใคร่จะมีใครคิดตีข้าพเจ้าอีก

เพราะกลัวข้าพเจ้ากระโดดบ้านขาหัก

ที่ต้องกลัวเพราะข้าพเจ้าเป็นคนทำอะไรจริงจัง

เวลาพูดอะไรแล้วก็ทำตามอย่างนั้น

มีน้อยครั้งที่ข้าพเจ้าจะไม่ทำ

เวลาทำผิดข้าพเจ้าก็ยอมรับในสิ่งที่ทำ

มันเป็นนิสัยของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ายินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งหลายทั้งปวง

หากว่าข้าพเจ้าทำผิด

แต่ถ้าจะตีข้าพเจ้าเพราะเรื่องไร้สาระ

ข้าพเจ้าก็ต้องหนี  555

ข้าพเจ้าเป็นคนเช่นนั้น


แม่ของข้าพเจ้าลำบากในการหาเลี้ยงชีพและหาเลี้ยงลูกร่ำมา

ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นเด็กข้าพเจ้าจำความได้ว่า

แม่ปั่นจักรยานเอาผักไปขายที่ตลาดในอำเภอ

เอาตระกร้ามัดใส่เบาะหลังจักรยานสองข้าง

เหมือนคาน

แล้วก็ปั่นไป

ระยะทางประมาณสิบกิโลเมตร

ต้องออกเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืน

มันมีทางอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งลาดชันมาก

เรียกว่าขนาดรถยนต์ก็ต้องอืดหากขึ้นเนินนี้

เป็นความทรหดอดทนของผู้หญิงคนหนึ่งอย่างแท้จริง

แม่มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไปตลาดด้วยกัน

ปั่นจักรยานไปด้วยกัน

แต่อายุมากกว่าแม่หลายปี

เวลาไปหาของไปขายที่ตลาด

ก็ไปด้วยกัน

จนกระทั่งเทคโนโลยีมีมากขึ้น

แม่ก็ไปขายของโดยรถที่เขาวิ่งตลาด

คือรถกระบะนั่นแหละ

เหมือนรถประจำทาง

แต่เป็นประจำทางเฉพาะกิจ

เป็นเช่นนี้หลายปี

จนกระทั่งมีมอเตอร์ไซค์

 ก็อาศัยมอเตอร์ไซค์  ทำเหมือนจักรยาน

ไปกันสองคนเพื่อนกัน

ซึ่งมันไม่ได้สะดวกสบายขึ้นอย่างที่คิด

เพราะถนนนั้นเต็มไปด้วยหลุม

จนกระทั่ง

ผ่านไปอีกหลายปี

เพื่อนแม่ก็มีรถกระบะ

ก็อาศัยรถเพื่อน

อยู่มาวันหนึ่ง

เกิดทะเลาะกัน

ความจริงกับเพื่อนนั้นไม่ทะเลาะ

แต่คนที่บ้านพื่อนคอยกระแนะกระแหนต่าง ๆ  นานา

แม่ข้าพเจ้าด้วยทิฐิมานะ

ก็ตัดขาด

เอาของไปขายเอง

แต่เนื่องจากขายของตลาดมานาน

ตั้งแต่วางขายแบกะดินจนกระทั่งมีแผงเป็นของตัวเอง

ของมันก็เยอะ

จะใส่ตระกร้าคานไปหลังมอเตอร์ไซค์เหมือนเดิมก็ไม่พอ

ก็เลยต้องเอารถเข็นมาพ่วง

แล้วก็ลากไป

สิบกิโล

ตามถนนที่ข้าพเจ้ายืมสำนวนฮิวเมอริสต์

มาพูดว่า

เป็นถนนที่ถูกสร้างโดยการ  "เอาหลุมมาเรียงต่อกัน"

แถมยังมืดอีกต่างหาก

ต้องเอาซีดีห้อยท้ายไว้  กันรถคนอื่นชน


จนกระทั่งข้าพเจ้าเรียนจบ

ข้าพเจ้าซื้อรถกระบะให้แม่

ความทุกข์ยากพวกนี้จึงคลายไป

ข้าพเจ้าเคยขอให้แม่เลิกทำงาน

แต่แม่ไม่ยอม

การซื้อรถให้แม่ไม่ใช่ความภาคภูมิใจสูงสุดของข้าพเจ้า

ความภาคภูมิใจของข้าพเจ้าคือการได้พาแม่ไปวัด

แรกทีเดียว

ข้าพเจ้าพาแม่ไปวัดธรรมมงคล

ไปถวายจังหันหลวงพ่อวิริยังค์เมื่อครั้งท่านมาเมืองไทย

แม่ของข้าพเจ้านั้น

อย่าว่าแต่ไปพบพระอรหันต์

พระธรรมดาก็ไม่ค่อยไป

เข้าวัดเข้าวาก็แต่ขอซื้อของวัดไปขายต่อเท่านั้น


ครั้นพอแม่มีรถเป็นของตัวเอง

ข้าพเจ้าก็หาอุบายให้พาข้าพเจ้าไปวัดป่านาคำน้อย

ในความคิดสมัยข้าพเจ้ายังเรียนไม่จบนั้น

ข้าพเจ้าใฝ่ฝันไว้ว่า

จะพาไปวัดป่าบ้านตาด

แต่พอถึงกาล

หลวงตาท่านก็สิ้นไปเสียแล้ว

อีกวัดป่านาคำน้อยก็ใกล้กว่า

แต่ที่ใกล้นั้นคือประมาณ  ๗๐  กิโล  จากบ้าน

ที่ใกล้กว่านั้นคือวัดป่านาคูณ

แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าไม่สนิทสนม

ข้าพเจ้าก็พาไปวัดป่านาคำน้อย

ไปวันแรกก็เกณฑ์เพืื่อนบ้านไปด้วย

จากนั้นที่บ้านก็ไปกันอยู่เนือง ๆ

ที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจมิใช่เพียงแต่เท่านั้น

เพราะบางคาบบางสมัย

ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปด้วยเพราะอยู่คนละที่

แม่ก็พาชาวบ้านคนอื่นไปวัด

คือไปกันเอง

ข้อนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีมาก


ครั้งหนึ่งสมัยที่ข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดเพียงลำพัง

๗  วัน  ๗  คืน

คืนสุดท้าย  ซึ่งหมายความว่าพรุ่งนี้พ่อและแม่ต้องมารับข้าพเจ้าออกจากวัด

และพาไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน

ข้าพเจ้าอาราธนาหลวงพ่ออินทร์ถวาย  ในใจ

อยากให้หลวงพ่อเทศน์โปรดพ่อแม่ข้าพเจ้าบ้าง

เพราะในเรื่องธรรมะนั้นแม่ยังไม่แน่ใจใอรรถในธรรมเท่าใดนัก

รุ่งเช้าวันนั้น

ฝนตกพรำ ๆ

หลวงพ่ออินทร์ถวายเทศน์เป็นภาษาอิสานตลอดเช้า

ซึ่งปกติไม่ค่อยมี

และเทศน์ในเรื่องที่พ่อแม่ของข้าพเจ้าไม่เชื่อด้วย

ซึ่งคาดว่าหลังจากได้ฟังเทศน์นี้แล้ว

คงจะได้มีสัมมาทิฐิมากขึ้น

ข้าพเจ้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง


พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า

บุคคลใดก็ตาม

แบกพ่อไว้บ่าข้างหนึ่ง  แบกแม่ไว้บ่าอีกข้างหนึ่ง

แล้วให้พ่อแม่ขี้เยี่ยวราดลงบนศีรษะ  หรือราดลงบนตัวก็ตาม

ก็ยังไม่ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณเท่ากับทำให้พ่อแม่เข้าถึงอรรถถึงธรรมเลย

ข้อนี้จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่า

ข้าพเจ้าพร้อมจะตายทุกเมื่อ

เพราะบุญอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำกับพ่อแม่กับพระอรหันต์

ทาน  ศีล  ภาวนา  ก็ได้ทำมาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว

เรียกว่า  เกิดมาก็พอใจ

ไม่เสียชาติเกิด



ธัชชัย  ธัญญาวัลย
๑๑  สิงหาคม  ๒๕๕๕





ไม่มีความคิดเห็น: