ตื่นขึ้นมาตอนตีสาม
ไม่ได้ตื่นมาดูบอล
แต่ลุกขึ้นมาจัดห้อง
คิดว่าจะจัดห้องให้เป็นระเบียบมากขึ้น
ให้เรียบร้อยสวยงามมากขึ้น
กระนั้นจัดไปสักพักก็คิดว่า
ไว้ให้อะไร ๆ ลงตัวก่อน
ค่อยจัดอีกครั้งดีกว่า
คิดไปคิดมาก็เหมือนสายน้ำที่ไหลเรื่อย
จึงเปิดอินเตอร์เน็ต
ดูรีวิวคอนโด
ตอนนี้คอนโดที่ข้าพเจ้าสนใจ
ก็คือแถว ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เส้นพระราม ๓
เพราะคิดไปเล่น ๆ ว่า
อยู่แถวนี้ก็มีความสุขดี
รถไม่ติด
ที่ทำงานก็สะดวก
อยากเข้าเมืองก็นั่ง BRT
ต่อ รถไฟฟ้า
จากนั้นจะไปไหนก็ได้
เป็นความคิดเล่น ๆ ลม ๆ แล้ง ๆ
หากพลัน
ชั่วขณะหนึ่ง
ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า
เรากำลังทำอะไรอยู่
เรากำลังทำอะไรอยู่
เป็นคำถามที่คว้านลึกเข้าไปในจิตใจพอสมควร
มันส่งผลให้นึกทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา
ความดีงาม
ความเลวร้าย
ความอะไร ๆ ต่าง ๆ ของชีวิต
ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่
ที่ผ่านมาคืออะไร
สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดคือ
อายุเราเริ่มมากขึ้น
อีกไม่กี่เดือน
ก็จะครบสามสิบ
พออายุขึ้นหลักสาม
ทำให้รู้สึกเหมือนว่า
เรานี่แก่ตัวลงมากเสียจริง ๆ
และอะไร ๆ ที่ควรต้องทำ
ก็ควรต้องทำให้เป็นชิ้นเป็นอันเสียแล้ว
นึกถึงความฟุ้งเฟ้อ
ความมักง่าย
ความดันทุรังต่าง ๆ
ในอดีตที่ผ่านมา
๕-๖ ปี
เหมือนไม่นาน
เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้
แต่ความจริงแล้ว
มันสามารถสร้างรากฐานของอะไรสักอย่าง
ให้มั่นคงพอสมควร
คิดถึงเพื่อนหลาย ๆ คน
บางคนเลือกที่จะสร้างบางสิ่ง
และบางคนเลือกที่จะสร้างอีกบางสิ่ง
แต่ทุกสิ่ง
แต่ละคนล้วนสร้างเพื่อ
"ความมั่นคงของชีวิต"
ข้าพเจ้านึกทบทวนดูว่า
ความมั่นคงของชีวิตคืออะไร
การมีบ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นความมั่นคงของชีวิตหรือเปล่า
เราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
หากจะนับรวมความผิดพลาดของชีวิตแล้ว
สมุดหนึ่งเล่ม
คงไม่พอจะบันทึก
ความผิดพลาดอันเลวร้ายของข้าพเจ้า
คนเราควรรู้จักความผิดพลาดของตัวเอง
ทำความเข้าใจ
พิจารณา
ให้ลึกซึ้ง
อย่างลึกซึ้ง
โดยปราศจากอคติ
เพื่อที่จะเรียนรู้
และแก้ไข
ป้องกัน
ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
พร้อม ๆ กับมองหาลู่ทางของอนาคต
จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้
ทั้งถูกและผิด
แม้ว่าความถูกต้องจะเป็นสิ่งที่ดี
แต่ในความคิดของข้าพเจ้า
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เป็นครูที่เยี่ยมยอด
เป็นประสบการณ์อันไม่อาจลืมเลือน
ถามว่า
หากย้อนเวลากลับไปได้
ข้าพเจ้าอยากจะย้อนกลับไปแก้ไข
สิ่งใด ๆ ในอดีตหรือไม่
ข้าพเจ้าตอบได้เลยว่า
ไม่
เป็นคำตอบที่ข้าพเจ้ายึดมั่นมาโดยตลอด
หากไม่มีความผิดพลาด
ก็ไม่มีแสงสว่างที่เรื่อเรืองอยู่ข้างหน้า
ทุกครั้งกับความทุกข์สุด ๆ
หรือความสาหัสที่เกิดขึ้นอย่างสาหัสกับชีวิต
เบื้องหน้า
มีสิ่งที่ดีที่สุดรอยู่เสมอ
ข้าพเจ้าเคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายสุด ๆ
สร้างความทุกข์แก่จิตใจอย่างสุด ๆ
มาแล้ว ๑ ครั้ง
หมายถึงมันสุด ๆ จริง ๆ
ไม่นับรวมอันที่ไม่สุด ๆ
ในความเลวร้ายสุด ๆ ของชีวิตนั้น
มันมีความดีงามที่สุด
เบ่งบานอยู่ถัดจากนั้นเสมอ
ถัดจากนั้นนิดเดียวจริง ๆ
จนบางครั้งเผลอคิดไปว่า
มันคือห้วงขณะเดียวกันเสียด้วยซ้ำ
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน
ข้าพเจ้าคิดว่า
นี่คือความเลวร้ายสุด ๆ
สร้างความทุกข์แก่จิตใจอย่างสุด ๆ
ครั้งที่ ๒
และข้าพเจ้าก็พบว่า
มีอะไรบางสิ่ง
เบ่งบานรอต้อนรับอยู่ข้างหน้า
รอให้เราไปสัมผัส
โอบกอด
และใช้ชีวิตร่วมกับมันอย่างมีความสุข
อีกครั้ง
ก่อนที่ความทุกข์สุด ๆ จะเข้ามาเยือนอีก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า
จะเป็นรูปแบบใด
แต่มันต้องมาแน่ ๆ
ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้น
และในระหว่างนั้น
ควาททรมานที่ไม่สุด ๆ
ก็จะเวียนมาเรื่อย ๆ
เช่นกัน
ปัญหาเหล่านี้
อุปสรรคเหล่านี้
เป็นสิ่งที่ต้องข้ามผ่าน
การข้ามไม่ผ่าน
หมายความว่า
เราแพ้
มีทางเดียวเท่านั้นที่ข้าพเจ้าจะยอมแพ้
คือตายจากโลกนี้ไป
ความจริงข้าพเจ้าเคยคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง
ตั้งแต่วัยเยาว์
แต่ทุก ๆ ครั้ง
ก็ผ่านมันมาได้
ซึ่งก็แปลกใจเหมือนกัน
ระยะหลัง ๆ มานี้
ข้าพเจ้าไม่คิดฆ่าตัวตายเลย
แม้จะเจอมรสุมชีวิตมากขนาดไหน
แน่นอน มันอาจแว่บมานิด ๆ หน่อย ๆ
พอให้เห็นว่า
มันยังมีอยู่นะ
มันคิดถึงเรา
มันไม่ได้ลาขาดจากเราโดยสิ้นเชิง
แต่มันก็ไม่จมจ่อมเวียนวนเหมือนเมื่อครั้งเก่าก่อน
หรือถ้าจะพูดอย่างยกยอตัวเอง
ก็ต้องบอกว่า
เราเข้มแข็งขึ้นแล้วนะเฮ้ย
ความคิดจมจ่อมอยู่กับการฆ่าตัวตาย
มีขึ้นครั้งสุดท้ายสมัยข้าพเจ้าเรียนมหาวิทยาลัย
เป็นความจมจ่อมจริง ๆ
ข้าพเจ้าคิดถึงมันทุกวันคืน
คิดถึงมันบ่อย ๆ
ฝันถึงมันด้วย
แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
อาจเป็นเพราะเทพเจ้าอีกฝ่ายหนึ่ง
ดึงรั้งเอาไว้ก็ได้
ข้าพเจ้าต้องยกความดีความงามให้เทพเจ้าเหล่านั้น
เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรนัก
ติดจะเป็นคนอ่อนแอเสียด้วยซ้ำ
แต่ข้าพเจ้าก็พยายามเข้มแข็ง
จนบางครั้ง
ก็อดสาระแนคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า
เราแข็งกระด้างต่อโลกนี้มากเกินไปหรือเปล่า
เรากำลังทำอะไรอยู่
คำถามในยามย่ำรุ่งก่อนดวงตะวันจะลืมตา
แท้แล้วข้าพเจ้ามีคำตอบ
ให้กับชีวิต
ว่าจะทำอะไร
จะเดินทางไหน
และจะเป็นอะไร
หากแต่คำถามที่ว่า
เรากำลังทำอะไรอยู่
ชักพาทุกสิ่งให้ชะงักงัน
เหมือนเดินถึงทางแยก
แล้วเราต้องเลือกว่า
ซ้าย หรือ ขวา
การเลือกว่าซ้ายหรือขวา
อาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่พอเพียง
แต่ข้าพเจ้าเป็นคนโลภมาก
ย่อมอยากเดินทั้งสองทาง
ทั้งซ้ายและขวา
จึงความครุ่นคิดต้องทำงานหนัก
ในการออกแบบเส้นทางชีวิต
ที่จะให้สมดุลระหว่าง
ซ้ายและขวา
และ/หรือ ซ้าย หรือ ขวา
ความคิดนั้นเป็นเหมือนสายน้ำ
ไหลเรื่อยรินไม่ขาดสาย
ข้าพเจ้าพยายามมองดูมัน
และอยากจะตัดสินใจ
แต่ก็ไม่วาย
กับคำถามที่ตอกย้ำอยู่เสมอ
เรา
กำ
ลัง
ทำ
อะ
ไร
อยู่
.
.
.
.....
ธัชชัย ธัญญาวัลย
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ตีห้าสิบเจ็ดนาที
ขอบคุณความโดดเดี่ยว
ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ทบทวนอะไรได้ชัดเจน
และชัดแจ้งมากขึ้น
ขอบคุณ สาวน้อยในความคิดถึงของข้าพเจ้า
ผู้เป็นแรงบันดาลใจ
แม้เธอจะรู้หรือไม่...
ก็ตามที